โครงสร้างความรับผิดทางอาญา
โครงสร้างความรับผิดทางอาญา
1. ความรับผิดในทางอาญาเกิดขึ้นเมื่อผู้กระทำได้กระทำครบ“องค์ประกอบ”ที่กฎหมายบัญญัติ และ
2. การกระทำที่ครบ “องค์ประกอบ” ที่กฎหมายบัญญัติจะต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด และ
3. การกระทำที่ครบ “องค์ประกอบ” ที่ไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดนั้นจะต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษด้วย
4. บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาต่อเมื่อมีการกระทำ
1. การกระทำครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติ
1.1 ต้องมีการกระทำ
การกระทำถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของกฎหมายอาญา เพราะความผิดทุกอย่างต้องเริ่มจากการกระทำ หากบุคคลไม่มีการกระทำ บุคคลนั้นไม่ต้องรับผิดทางอาญา
การกระทำ หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก กล่าวคือ อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ จะต้องมีการคิด ตกลงใจ และกระทำไปตามที่ตกลงใจอันสีบเนื่องจากความคิดนั้น
การไม่เคลื่อนไหวร่างกายแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
(1) การกระทำโดยงดเว้น หมายถึง การไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก ทั้งๆที่ผู้กระทำมีหน้าที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลนั้นขึ้น
! หน้าที่ตามกฎหมาย
! หน้าที่ตามสัญญา
! หน้าที่อันเกิดจากการกระทำก่อนๆของตน
! หน้าที่อันเกิดจากความสัมพันธ์พิเศษเฉพาะเรื่อง
(2) การกระทำโดยละเว้น หมายถึง การไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก ซึ่งผู้กระทำมีหน้าที่ทั่วไปที่จะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นหน้าที่ของพลเมืองดี
1.2 การกระทำครบองค์ประกอบภายนอกของความผิด
1.2.1 ผู้กระทำ
ผู้กระทำจะต้องเป็นบุคคลเท่านั้น จะเป็นสัตว์หรือสิ่งของไม่ได้ หากบุคคลใช้สัตว์เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้กระทำความผิดเอง
ในกรณีที่บุคคลใดหลอกให้ผู้อื่นกระทำความผิด โดยผู้ที่ถูกหลอกไม่มีเจตนากระทำความผิด กฎหมายถือว่าบุคคลที่หลอกเป็นผู้กระทำความผิดโดยทางอ้อม
1.2.2 การกระทำ
การกระทำของผู้กระทำจะต้องถึงขั้นตอนที่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด โดยหลักแล้วหากเป็นการกระทำโดยเจตนาการกระทำจะต้องถึง “ขั้นลงมือ” ผู้กระทำจึงต้องรับผิดในฐานพยายามกระทำความผิด
หากมีการกระทำเพียง “ขั้นตระเตรียมการ” ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดแม้อยู่ในขั้นตระเตรียมการ เช่น การตระเตรียมการเพื่อลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท การตระเตรียมการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร การตระเตรียมการวางเพลิงเผาทรัพย์
1.2.3 วัตถุแห่งการกระทำ
วัตถุแห่งการกระทำ หมายถึง สิ่งที่ผู้กระทำมุ่งหมายกระทำต่อ
1.3 การกระทำครบองค์ประกอบภายในของความผิด
1.3.1 เจตนา
โดยหลักแล้วบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อกระทำโดยเจตนา ซึ่งเจตนาในทางอาญาแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.3.1.1 เจตนาธรรมดา
1) เจตนาตามความเป็นจริง การกระทำใดจะเป็นการกระทำโดยเจตนาประเภทนี้จะต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 2 ประการ คือ
ก) ผู้กระทำต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด หากผู้กระทำไม่รู้ถือว่าไม่มีเจตนา
ข) ผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลการกระทำของตน
ì เจตนาประสงค์ต่อผล หมายถึง ความประสงค์ที่จะให้เกิดผลขึ้นตามที่ตั้งใจนั้นโดยตรง กล่าวคือ ผู้กระทำได้กระทำโดยมุ่งหมายหรือมี่ความต้องการที่จะให้เกิดความผิดขึ้น
ì เจตนาย่อมเล็งเห็นผล หมายถึง ผู้กระทำไม่ประสงค์ให้เกิดผลโดยตรง หากแต่โดยลักษณะของการกระทำผู้กระทำย่อมเล็งเห็นได้ว่าจะก่อให้เกิดผลขึ้น
2) เจตนาโดยผลของกฎหมาย มักเรียกว่า “เจตนาโอน” ซึ่งเป็นเจตนาที่เกิดจาก “การกระทำโดยพลาด” ของผู้กระทำความผิด
1.3.1.2 เจตนาพิเศษ
ผู้กระทำมี “เจตนาพิเศษ” หรือ “มูลเหตุจูงใจ” จึงถือว่าการกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายในของความผิดฐานนั้นๆ อันทำให้ผู้กระทำมีความผิดอาญาฐานนั้น
1.3.2 ประมาท
การกระทำโดยประมาท หมายถึง การกระทำโดยไม่เจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลทั่วไปในภาวะนั้นจะต้องมีความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่ไม่ได้ใช้ให้เพียงพอ
1.3.3 ไม่ทั้งเจตนาและประมาท
การกระทำบางอย่างกฎหมายกำหนดให้ผู้กระทำต้องรับผิดถึงแม้ผู้กระทำจะไม่ได้กระทำโดยเจตนาและประมาทก็ตาม ความผิดประเภทนี้เรียกว่า “ความผิดโดยเด็ดขาด” ความผิดประเภทนี้ส่วนใหญ่ ได้แก่ ความผิดลหุโทษ
1.4 ผลของการกระทำสัมพันธ์กับการกระทำ
ผู้กระทำจะต้องรับผิดเฉพาะผลที่เกิดจากการกระทำของตนเท่านั้น และไม่ต้องรับผิดในผลซึ่งโดยปกติไม่มีทางที่จะเกิดจากการกระทำของตนได้
2. การกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
2.1 การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง การที่ผู้กระทำได้กระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือสิทธิของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึง
การกระทำที่ไม่เป็นความผิดเพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจะต้องเป็นการกระทำที่ครบหลักเกณฑ์ 4 ประการ คือ
1) ต้องมีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
3) ผู้กระทำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น
4) ผู้กระทำได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ
2.2 ความยินยอม
ความยินยอมที่จะทำให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดจะต้องเป็นความยินยอมที่ครบองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1) ต้องเป็นความยินยอมอันบริสุทธิ์ของผู้เสียหาย ไม่ถูกหลอกลวง ข่มขู่
2) ความยินยอมนั้นไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
3) ความยินยอมจะต้องมีอยู่ตลอดเวลาที่กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
3. การกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
3.1 การกระทำโดยจำเป็น
3.1.1 การกระทำโดยจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจ
การกระทำที่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษเนื่องจากกระทำโดยจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจจะต้องเป็นการกระทำที่ครบหลักเกณฑ์ 4 ประการ คือ
1) ผู้กระทำอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้บังคับ
2) ผู้กระทำไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้
3) ผู้กระทำจะต้องไม่ได้ก่อเหตุการณ์นั้นขึ้นโดยความผิดของตน
4) ผู้กระทำได้กระทำลงไปโดยพอสมควรแก่เหตุ
3.1.2 การกระทำโดยจำเป็นเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นภยันตราย
การกระทำที่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษเนื่องจากกระทำโดยจำเป็นเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นภยันตรายจะต้องเป็นการกระทำที่ครบหลักเกณฑ์ 6 ประการ คือ
1) ต้องมีภยันตรายเกิดขึ้นแก่ผู้กระทำหรือผู้อื่น
2) ภยันตรายนั้นใกล้จะถึง
3) ต้องเป็นภยันตรายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นได้โดยวิธีอื่น
4) ภยันตรายนั้นผู้กระทำไม่ได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
5) ผู้กระทำได้กระทำไปเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นภยันตราย
6) ผู้กระทำได้กระทำไปโดยพอสมควรแก่เหตุ
3.2 เหตุยกเว้นโทษอื่นๆ
3.2.1 การกระทำความผิดของเด็ก
1) ผู้กระทำความผิดเป็นเด็กอายุไม่เกิน 10 ปี การกระทำนั้นเป็นความผิด แต่เด็กผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษ เนื่องจากกฎหมายยังถือว่าขาดความรับรู้ชอบ
2) ผู้กระทำความผิดเป็นเด็กอายุเกิน 10 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี แม้การกระทำนั้นจะเป็นความผิด แต่เนื่องจากผู้กระทำความผิดยังขาดความรู้ผิดชอบอยู่ เด็กจึงไม่ต้องรับโทษ แต่ศาลอาจใช้มาตรการสำหรับเด็ก เช่น ว่ากล่าวตักเตือน เป็นต้น
3.2.2 การกระทำความผิดของคนวิกลจริต
ได้รับการยกเว้นโทษเพราะจริตวิกล ได้แก่ ผู้ที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนได้ เนื่องจากจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน
3.2.3 การกระทำความผิดของผู้มึนเมา
ได้รับการยกเว้นโทษ ได้แก่ ผู้ที่กนะทำความผิดในขณะที่ไม่สามารถรับรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะความมึนเมา ซึ่งเกิดจาก
1) ผู้กระทำความผิดเสพโดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้มึนเมา
2) ผู้กระทำความผิดถูกขืนใจให้เสพ
3.2.4 การกระทำความผิดตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงาน
1) ต้องกระทำความผิดตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน
2) คำสั่งนั้นต้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3) เจ้าพนักงานผู้กระทำต้องไม่รู้ว่าคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4) เจ้าพนักงานผู้กระทำมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหรือไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติแต่เชื่อโดยสุจริตว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม
3.2.5 การกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ในบางฐานระหว่างสามีภริยา
กฎหมายได้ยกเว้นโทษให้กับความผิดที่สามีกระทำต่อภริยาหรือภริยากระทำต่อสามีเฉพาะความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 8 ฐานความผิด
เหตุลดโทษ
1. ความไม่รู้กฎหมาย
ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทำผิดไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดจริง ศาลอาจลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับโทษนั้นเพียงใดก็ได้
2. คนวิกลจริตซึ่งยังสามารถรับรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือสามารถบังคับตนเองได้บ้าง
3. คนมึนเมาซึ่งยังสามารถรับรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือสามารถบังคับตนเองได้บ้าง
4. การป้องกันหรือจำเป็นที่เกินสมควรแก่เหตุ แต่ถ้าการกระทำนั้นเกิดจากความตื่นเต้น ความตกใจ หรือความกลัว ศาลอาจไม่ลงโทษผู้กระทำเลยก็ได้
5. การกระทำความผิดเกี่ยวทรัพย์ในบางฐานความผิดระหว่างญาติสนิทในความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร ทำให้เสียทรัพย์ และบุกรุก ถ้าเป็นการกระทำที่บุพการีกระทำต่อผู้สืบสันดาน ผู้สืบสันดานกระทำต่อบุพการี หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทำต่อกัน
6. ผู้กระทำความผิดอายุกว่า 15 ปีแต่ต่ำกว่า 18 ปี หรือตั้งแต่ 18 ปีแต่ไม่เกิน 20 ปี
ถ้าผู้กระทำความผิดมีอายุกว่า 15 ปีแต่ต่ำกว่า 18 ปี หากศาลเห็นว่าสมควรพิพากษาลงโทษก็ให้ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิด ลงกึ่งหนึ่ง แต่ถ้าผู้กระทำความผิดมีอายุตั้งแต่ 18 ปีแต่ยังไม่ถึง 20 ปี หากศาลเห็นสมควรจะลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลง หนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้
7. เหตุบรรเทาโทษ
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญา ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีแต่ก่อน สำนึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ให้ความร่วมมือต่อเจ้าพนักงานหรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ถ้าศาลเห็นสมควรลดโทษ ไม่เกินกึ่งหนึ่ง ของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้
8. การกระทำโดยบันดาลโทสะ
ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้