กลไกตลาด หรือ กลไกราคา
กลไกตลาด หรือ กลไกราคา
อุปสงค์มากกว่ามากกว่าอุปทาน >> ของขาด >> สินค้าราคาสูงขึ้น
อุปสงค์น้อยกว่าอุปทาน >> ของล้น >> สินค้าราคาต่ำลง
« กลไกราคาจะทำงานได้ดี เมื่อเป็น ตลาดการค้าเสรีสมบูรณ์แบบ
« เมื่อรัฐเห็นว่าราคาดุลยภาพที่เกิดขึ้นไม่เหมาะสมต่อภาพรวมเศรษฐกิจ รัฐจะเข้าแทรกแซง โดยกำหนดราคาขั้นสูง – ราคาขั้นต่ำของสินค้า เพื่อให้เกิดอุปสงค์และอุปทานใหม่
อุปสงค์ (DEMAND)
ความหมายของอุปสงค์ (demand)
อุปสงค์ คือ ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าใดสินค้าหนึ่งที่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อ ณ. ระดับราคาต่างๆ เมื่อปัจจัยอื่นๆ อยู่คงที่
อุปสงค์ส่วนบุคคล คือ ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคคนใดคนหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ
อุปสงค์ตลาด คือ การนำอุปสงค์ส่วนบุคคลมารวมไว้ด้วยกัน
กฎของอุปสงค์ (law of demand)
กฎของอุปสงค์ คือ การเปลี่ยนแปลงปริมาณซื้อสินค้าของผู้บริโภค เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านั้น ปัจจัยอื่นๆ อยู่คงที่ (ceteris paribus = other things being equal)
กฎของอุปสงค์ “เมื่อราคาสินค้าใดเพิ่มขึ้น กำหนดให้สิ่งอื่นๆ อยู่คงที่ ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าลดลง ใน ขณะที่ราคาสินค้าลดลง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้านั้นของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้น ”
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดกฎของอุปสงค์
1. แนวคิดที่มีเหตุผลของผู้บริโภค เมื่อราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ความต้องการซื้อสินค้านั้นของผู้บริโภคจะลดลง
2. กฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์ (law of marginal utility) เมื่อผู้บริโภคบริโภคสินค้าใดเพิ่มขึ้น ความพอใจที่ผู้บริโภคได้รับจากการบริโภคสินค้านั้นจะลดลง
3. ผลทางรายได้และผลการทดแทน ผลทางรายได้ คือ เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น รายได้อยู่คงที่ ผู้บริโภคซื้อสินค้าลดลง ส่วนผลทางการทดแทน คือ ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคไปซื้อสินค้าอื่นมาใช้ทดแทน
อุปทาน (SUPPLY)
ความหมายของอุปสงค์ (demand)
ปริมาณสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้ผลิตเต็มใจนำออกเสนอขายในตลาดภายในระยะเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ กันของสินค้าและบริการนั้น โดยสมมติให้ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดอุปทานคงที่
1.ความเต็มใจที่จะเสนอขายหรือให้บริการ (willingness) กล่าวคือ ณ ระดับราคาต่างๆ ที่ตลาดกำหนดมาให้ ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการมีความยินดีหรือเต็มใจที่จะเสนอขายสินค้าหรือให้บริการตามความต้องการซื้อของผู้บริโภค
2.ความสามารถในการจัดหามาเสนอขายหรือให้บริการ (ability to sell) กล่าวคือ ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการจะต้องจัดหาให้มีสินค้าหรือบริการอย่างเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการซื้อของผู้บริโภค ณ ระดับราคาของตลาดในขณะนั้นๆ (สามารถเสนอขายหรือให้บริการได้) เมื่อกล่าวถึงคำว่า อุปทาน จะเป็นการมองทางด้านของผู้ผลิตซึ่งตรงข้ามกับอุปสงค์ที่เป็นการมองทางด้านของผู้บริโภค ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ความสัมพันธ์ของราคาสินค้าที่มีต่ออุปทานของสินค้านั้นจะเป็นไปตามกฎของอุปทาน (Law of Supply)
กฎของอุปทาน (Law of Supply) จะอธิบายถึงพฤติกรรมของผู้ผลิตในการแสวงหากำไรสูงสุด กฎของอุปทานกล่าวว่า “ปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตเต็มใจจะนำออกขายในระยะเวลาหนึ่งขึ้นอยู่กับราคาสินค้านั้นๆ ในทิศทางเดียวกัน” กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้นปริมาณอุปทานจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตมีความต้องการที่จะเสนอขายมากขึ้น เพราะคาดการณ์ว่าจะได้กำไรสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อราคาสินค้าลดลงปริมาณอุปทานจะน้อยลง เนื่องจากคาดการณ์ว่ากำไรที่ได้จะลดลง ลักษณะทั่วไปของเส้นอุปทานจึงเป็นเส้นที่มีลักษณะที่ลากเฉียงขึ้นจากซ้ายไปขวา ภายใต้ข้อสมมติว่าปัจจัยตัวอื่นๆที่มีผลต่ออุปทานมีค่าคงที่
ในทำนองเดียวกันกับตารางอุปสงค์ ตารางอุปทาน (supply schedule) เป็นตารางตัวเลขที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณอุปทานของสินค้าหรือบริการอย่างใดอย่างหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
การที่ผู้ผลิตจะนำสินค้าออกมาเสนอขายมากน้อยเพียงใดนั้น นอกจากราคาของสินค้าชนิดจะเป็นปัจจัยที่กำหนดแล้วยังมีอีกหลายปัจจัย ดังนี้
ต้นทุนการผลิต การตัดสินใจในปริมาณการผลิตผู้ผลิตจะเปรียบเทียบระหว่างรายได้จากการขายสินค้ากับต้นทุนในการผลิต ต้นทุนการผลิตมีผลต่อปริมาณการผลิตสินค้าโดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม
ราคาของสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง การเปลี่ยนแปลงในราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งใดอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อปริมาณเสนอขายสินค้าอีกชนิดหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของสินค้า เช่น สินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อการผลิตสินค้าเปลี่ยนแปลงไปด้วย
สภาพดินฟ้าอากาศ สภาพดินฟ้าอากาศมีผลกระทบต่อปริมาณการเสนอขายสินค้าโดยเฉพาะสินค้าเกษตร สภาพดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวยจะส่งผลให้อุปทานสินค้าเพิ่มขึ้น เป็นต้น
เทคโนโลยี ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีบทบาทต่อการผลิตมาก การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและปริมาณผลผลิตด้วย
นโยบายรัฐบาล ปริมาณเสนอขายสินค้าอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐ เช่น ถ้าจัดเก็บภาษีการค้าเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตอาจลดการผลิตลงเนื่องจากต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงของอุปทานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 2 แบบคือ
การเปลี่ยนแปลงปริมาณของอุปทาน (Change in quantity supply) เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปทานเนื่องจากราคาสินค้าชนิดนั้นเปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ข้อสมมุติปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดอุปทานคงที่ การเปลี่ยนแปลงปริมาณของอุปทานจะทำให้ปริมาณการเสนอขายเปลี่ยนแปลงอยู่บนเส้นอุปทานเส้นเดิม ถ้าพิจารณาจากกราฟการเปลี่ยนแปลงของอุปทานดังกล่าวจะเป็นการเปลี่ยนแปลง ในลักษณะของการเคลื่อนไหวอยู่ภายในเส้นอุปทานเส้นเดิม จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง (ดังรูป จากจุด A ไปยังจุด B )
การเปลี่ยนแปลงระดับอุปทาน (Change in supply) เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปทานเนื่องจากปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลต่ออุปทาน เช่น ต้นทุนการผลิต เทคโนโลยีการผลิตเปลี่ยนแปลง ภายใต้ข้อสมมุติราคาสินค้าชนิดนั้นคงที่ และส่งผลให้เส้นอุปทานเกิดการเคลื่อนย้ายไปจากเส้นเดิม ถ้าผลการเปลี่ยนแปลงทำให้อุปทานเพิ่มขึ้นเส้นจะเลื่อนระดับไปด้านขวามือของเส้นเดิม และถ้ามีผลให้อุปทานลดลงเส้นจะเลื่อนระดับไปทางซ้ายมือของเส้นเดิม ถ้าพิจารณาจากกราฟการเปลี่ยนแปลงของอุปทานดังกล่าวจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการเคลื่อนย้ายเส้นอุปทานไปทั้งเส้นจากเส้นเดิมไปสู่เส้นใหม่ โดยถ้าเส้นอุปทานเคลื่อนย้ายไปทางขวาของเส้นเดิมแสดงว่าอุปทานเพิ่มขึ้น ถ้าเคลื่อนย้ายไปทางซ้ายแสดงว่าอุปทานลดลง
การแทรกแซงของรัฐ หรือ การควบคุมราคา (Price Control) :
มี 2 ลักษณะ ดังนี้
1) การประกันราคา >> การกำหนดราคาขั้นต่ำ
- เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตให้ขายสินค้าได้ในราคาสูงขึ้น เนื่องจากสินค้า ณ ปัจจุบันต่ำกว่าราคาดุลยภาพ
- การแทรกแซงทำได้หลายวิธี เช่น การประกันราคาโดยรัฐ, การพยุงราคาโดยการอุดหนุนส่วนต่าง, การลดปริมาณการผลิต, การเพิ่มช่องทางการจำหน่าย
2) การกำหนดเพดานราคา >> การกำหนดราคาขั้นสูง
- เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคให้ไม่ต้องซื้อสินค้าราคาสูงเกินไป กรณีที่เป็นการผลิตแบบผูกขาดหรือผู้ผลิตร่วมมือกันขึ้นราคาสินค้า หรือสินค้าขาดแคลนชั่วคราว เช่น การคุมราคาน้ำมัน, น้ำตาล, ไฟฟ้า
- การคุมราคาขั้นสูงมักจะใช้กับสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น
ตลาดมืด (Black market)
คือ ตลาดที่มีการซื้อขายสินค้าในราคาที่ผิดกฎหมาย เกิดจากผลการควบคุมราคาสินค้าโดยรัฐบาล หากไม่สามารถควบคุมหรือควบคุมได้ไม่ทั่วถึงจะทำให้มีการซื้อขายหรือแลก เปลี่ยนกันในราคาหรืออัตราที่สูงกว่ารัฐบาลกำหนดไว้
การกำหนดค่าจ้าง (Wage)
1) ค่าจ้าง/ค่าแรง : ผลตอบแทนที่แรงงานได้รับจากการให้ผู้ผลิตใช้บริการแรงงานของตน อาจอยู่ในรูปตัวเงินต่อวัน ต่อสัปดาห์หรือเหมาต่อชิ้นงานก็ได้ รวมทั้งอาหาร ที่พัก สวัสดิการต่างๆก็ถือเป็นค่าจ้างเช่นกัน
2) อุปสงค์แรงงาน : ความต้องการจ้างแรงงานของผู้ผลิตที่ระดับราคาค่าจ้างต่างๆ
3) อุปทานแรงงาน : ความต้องการทำงานของแรงงาน ที่ระดับราคาค่าจ้างต่างๆ
4) อัตราค่าจ้างดุลยภาพ : คือค่าจ้างที่ทำให้อุปสงค์เท่ากับอุปทานของแรงงาน
- ถ้าค่าจ้างสูงกว่าดุลยภาพ >> เกิดปัญหาอุปทานแรงงานส่วนเกิน >> เกิดการว่างงาน
- ถ้าค่าจ้างต่ำกว่าดุลยภาพ >> เกิดปัญหาอุปสงค์แรงงานส่วนเกิน >> ขาดแคลนแรงงาน
5) กฎหมายค่าแรงขั้นต่ำ : เป็นการแทรกแซงกลไกราคาแรงงาน เพื่อทำให้ค่าแรงสูงกว่าค่าแรงดุลยภาพ รัฐใช้เมื่อเห็นว่าค่าแรงดุลยภาพต่ำเกินไปจนแรงงานเดือดร้อน ผู้ผลิตจะให้ค่าแรงต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ แต่การขึ้นค่าแรงอาจส่งผลกระทบ เช่น เกิดการว่างงานมากขึ้น, เกิดภาวะเงินเฟ้อ, เกิดการลงทุนน้อย