การค้าระหว่างประเทศ
การค้าระหว่างประเทศ
เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ
1. การค้าระหว่างประเทศ
1) ความหมาย : การนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกับประเทศอื่นโดยใช้เงิน, สินเชื่อ หรือสินค้า เป็นตัวแลกเปลี่ยน
2) สาเหตุ : แต่ละประเทศมีทรัพยากร, การผลิต และความสามารถการผลิตไม่เหมือนกัน
3) ก่อให้เกิด : ความเชี่ยวชาญในการผลิตเฉพาะอย่าง, การนำเข้า, การส่งออก
4) ดุลการค้า : มูลค่าการส่งออกสุทธิ หาได้จากดุลการค้า = มูลค่าการส่งออกสุทธิ = มูลค่าการนำเข้า –
มูลค่าการส่งออก
« ขาดดุลการค้า >> การส่งออกสุทธิเป็นลบ >> มูลค่าการนำเข้า > มูลค่าการส่งออก
« เกินดุลการค้า >> การส่งออกสุทธิเป็นบวก >> มูลค่าการนำเข้า < มูลค่าการส่งออก
« สมดุลการค้า >> การส่งออกสุทธิเป็นศูนย์ >> มูลค่าการนำเข้า = มูลค่าการส่งออก
5) นโยบายการค้า : นโยบายที่แต่ละประเทศใช้ในการนำเข้าสินค้า และส่งออกสินค้า
« นโยบายการค้าแบบเสรี : ประเทศต่างๆค้าขายกันอย่างเสรี ไม่มีการกีดกันทางการค้า ไม่มีการเก็บภาษี หรือมีการเก็บภาษีแต่น้อย เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่มีการกำหนดโควต้าสินค้า นโยบายแบบนี้ประเทศที่กำลังพัฒนาจะเสียเปรียบประเทศพัฒนาแล้ว กลุ่มการค้าเสรี เช่น สหภาพยุโรป
« นโยบายการค้าแบบคุ้มกัน : มุ่งสนับสนุนการผลิตในประเทศ ตรงข้ามกับการค้าโดยเสรีสิ้นเชิง คือ รัฐบาลจะใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อจำกัดการนำเข้าและส่งเสริมการส่งออก โดยมี
1) วัตถุประสงค์การค้าแบบคุ้มกัน
- เพื่อให้ประเทศช่วยตนเองได้เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน
- เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายใน ไม่ให้สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาด
- เพื่อป้องกันการทุ่มตลาดของต่างประเทศ
- เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า โดยจำกัดการนำเข้าและส่งออกให้มากขึ้น
2) การดำเนินนโยบายการค้าแบบคุ้มกัน : มุ่งส่งเสริมการส่งออกและกีดกันการนำเข้า
- ตั้งกำแพงภาษี (Tariff Wall) : เก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าที่ไม่ต้องการนำเข้าในอัตราที่สูง
- ควบคุมสินค้า : การห้ามโดยเด็ดขาดหรือกำหนดโควตาให้นำเข้าหรือส่งออก
- ให้การอุดหนุน : จ่ายเงินอุดหนุนให้แก่ผู้ผลิต ลดภาษีบางอย่างให้ เป็นต้น
2. การเงินระหว่างประเทศ : การติดต่อค้าขายและการลงทุนกับต่างประเทศ ทำให้เกิดการไหลเข้าและออกของเงินทุน จึงต้องมีการบันทึกข้อมูลลงในบัญชีประเภทต่างๆ ดังนี้
1) ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) : ผลรวมสุทธิของการค้าขาย – การลงทุน – การบริจาค ที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศ ถ้ามีรายได้มากกว่ารายจ่าย เรียกว่า “เกินดุลบัญชี” แต่ถ้ามีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย เรียกว่า “ขาดดุลบัญชี” แบ่งเป็น 4 บัญชีย่อย ดังนี้
« ดุลการค้า : บัญชีแสดงรายได้ของสินค้าส่งออกและรายจ่ายของสินค้านำเข้าประเทศ
« ดุลบริการ : บัญชีแสดงรายได้ – รายจ่ายการบริการระหว่างประเทศ เช่น ท่องเที่ยว
« ดุลเงินโอน : บัญชีแสดงความช่วยเหลือระหว่างประเทศ เป็นเงินโอนเปล่า ไม่มีการซื้อขายสินค้าเกิดขึ้น
« ดุลรายได้ : บัญชีแสดงรายได้จากเงินลงทุน (ดอกเบี้ย,เงินปันผล) และผลตอบแทนจากการจ้างงาน (เงินเดือน,สวัสดิการ)
2) ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย (Capital and Financial Account) : บัญชีแสดงมูลค่าการลงทุนระหว่างประเทศ เช่น ไทยไปลงทุนในต่างประเทศ หรือ ต่างประเทศมาลงทุนในไทย แบ่งเป็น 2 บัญชี ดังนี้
« บัญชีทุน (Capital Account) : แสดงการโอนย้ายเงินทุน, การซื้อขายทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิต (เช่น ที่ดิน โรงงาน) และการซื้อขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ทรัพย์สินทางการเงิน
« บัญชีการเงิน (Financial Account) : แสดงการซื้อขายสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงินระหว่างประเทศ เช่น ต่างชาติซื้อหุ้นกิจการไทย, เงินลงทุนในตราสารทุน (หุ้น), เงินลงทุนในตราสารหนี้ (หุ้นกู้,พันธบัตร)
3) ดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) : บัญชีแสดงการไหลเข้า – ออกของเงินตราระหว่างประเทศ จากทุกธุรกรรมทางเศรษฐกิจ (บัญชีเดินสะพัด+บัญชีทุนเคลื่อนย้าย) สินค้าและบริการที่นำเข้าต้องจ่ายเงิน เรียกว่า “เดบิต (Debit)” สินค้าและบริการที่ส่งออกได้รับเงิน เรียกว่า “เครดิต (Credit)” มี 3 ลักษณะ ดังนี้
« ดุลการชำระเงินเกินดุล : รายรับ > รายจ่าย หรือ Credit > Debit
« ดุลการชำระเงินขาดดุล : รายรับ < รายจ่าย หรือ Credit < Debit
« ดุลการชำระเงินสมดุล : รายรับ = รายจ่าย หรือ Credit = Debit
4) แนวทางการแก้ปัญหาดุลชำระเงินขาดดุล : ทำได้หลายวิธี ดังนี้
« เพิ่มการส่งออกสินค้า (เพิ่มรายได้)
« จำกัดการนำเข้าสินค้า (ลดรายจ่าย)
« ลดค่าเงินในประเทศ
« ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศ ทำให้ต่างประเทศกล้ามาลงทุนมากขึ้น
5) ทุนสำรองระหว่างประเทศ : สินทรัพย์ของธนาคารกลางที่อยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์, ยูโร, ปอนด์, เยน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีเมื่อจำเป็น
6) ความสัมพันธ์ของทุนสำรองระหว่างประเทศและดุลชำระเงิน : ทุนสำรองระหว่างประเทศจะทำหน้าที่ปรับดุลให้กับดุลการชำระเงิน เช่น
« ปี 2554 ไทยมีดุลการชำระเงินเกินดุล 35,000 ล.บ. >> ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 35,000 ล.บ.
3. การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ : แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1) แบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ : กำหนดอัตราค่าเงินไว้คงที่กับค่าเงินสกุลอื่นๆ
2) แบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว : อัตราแลกเปลี่ยนจะเคลื่อนไหวขึ้นลงได้ตามกลไกตลาด แบ่งเป็น 2 แบบ
« แบบลอยตัวเสรี : อัตราแลกเปลี่ยนเกิดจากกลไกตลาดทั้งหมด ไม่มีการแทรกแซงใดๆเลย
« แบบลอยตัวภายใต้การจัดการ : อัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามกลไกตลาดเกือบทั้งหมด แต่รัฐอาจจะเข้าแทรกแซงบ้างเพื่อควบคุมเสถียรภาพให้การเปลี่ยนแปลงไม่เกิดผลกระทบต่อการนำเข้า และการส่งออกรุนแรงเกินไป ประเทศไทยใช้ระบบนี้เพื่อควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน
ลดค่าเงินบาท
การลดค่าเงินบาทเป็นการปรับอัตราการแลกเปลี่ยนทางการให้สูงขึ้น เช่น สมมติว่าปีที่แล้วเงิน 25 บาทและได้ 1 ดอลลาร์ แต่ปีนี้เงิน 30 บาทแลกได้ 1 ดอลลาร์ แสดงว่า ต้องใช้เงินบาทจำนวนมากขึ้นเพื่อแลกกับเงินดอลลาร์เท่าเดิม นั่นคือ เงินบาทมีค่าลดลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
ดังนั้นจึงเรียกการปรับตัวดังกล่าวว่า การลดค่าเงินของประเทศเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
เพิ่มค่าเงินบาท
การเพิ่มค่าเงินบาท หมายถึง เงินตราของประเทศหนึ่งมีค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบการแลกเปลี่ยนกับเงินตราสกุลอื่น เช่น สมมติว่าปีที่แล้วเงิน 25 บาทแลกได้ 1 ดอลลาร์ แต่ปีนี้เงิน 20 บาทแลกได้ 1 ดอลลาร์ แสดงว่าเงินบาทมีค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์