ทรัพย์/ทรัพย์สิน
ทรัพย์/ทรัพย์สิน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 บัญญัติว่า “ทรัพย์” หมายความว่า วัตถุที่มีรูปร่าง เช่น บ้าน รถยนต์ คอมพิวเตอร์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 บัญญัติว่า “ทรัพย์สิน” หมายถึง ทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้
1. อสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 139 บัญญัติว่า “อสังหาริมทรัพย์” หมายความว่า ที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดิน มีลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น รวมถึงทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อันติดกับที่ดิน
1.1 ที่ดิน หมายถึง พื้นดินที่เป็นผิวโลก
1.2 ทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินเป็นการถาวร หมายถึง ทรัพย์ถาวรที่เกิดโดยธรรมชาติหรือมนุษย์
1.3 ทรัพย์อันประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน ได้แก่ ภูเขา แม่น้ำ แร่ธาตุต่างๆ
1.4 ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดิน หมายถึง สิทธิที่มีเหนือทรัพย์สินนั้น
2. สังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 140 บัญญัติว่า “สังหาริมทรัพย์” หมายความว่า ทรัพย์สินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงสิทธิอันเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นด้วย
3. ทรัพย์แบ่งได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 141 บัญญัติว่า
“ทรัพย์แบ่งได้” หมายความว่า ทรัพย์อันอาจแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ โดยไม่เสียรูปร่าง รูปทรงเดิม เพียงแต่ปริมาณอาจลดลง เช่น ข้าวสาร , ที่ดิน
4. ทรัพย์แบ่งไม่ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 142 บัญญัติว่า
“ทรัพย์แบ่งไม่ได้” หมายความว่า ทรัพย์อันจะแยกจากกันไม่ได้ หากแบ่งแยกจากกันจะทำให้ทรัพย์บุบสลาย เปลี่ยนแปลงไป เช่น รูปภาพ รถยนต์
5. ทรัพย์นอกพาณิชย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143 บัญญัติว่า “ทรัพย์นอกพาณิชย์” หมายความว่า ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้ คือ ไม่สามารถจะนำมาครอบครองเป็นสิทธิของตนได้ ไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ เช่น ดวงจันทร์ ก้อนเมฆ
ส่วนประกอบของทรัพย์
ทรัพย์นั้นจะประกอบด้วยส่วนที่ต่อเนื่องกับตัวทรัพย์อีก 3 ส่วน จึงจะทำให้เกิดผลทางกฎหมาย ส่วนประกอบดังกล่าว มีดังนี้
1. ส่วนควบของทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144 บัญญัติว่า “ส่วนควบของทรัพย์” หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพของทรัพย์เป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น ไม่อาจแยกออกจากกันได้นอกจากจะทำลาย เช่น เสาบ้านเป็นส่วนควบของบ้าน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145 บัญญัติว่า “ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่
ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลไม้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปีไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน”
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 บัญญัติว่า “ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราว ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย”
2. อุปกรณ์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 147 บัญญัติว่า “อุปกรณ์” หมายความว่า เป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นอาจิณเพื่อประโยชน์แก่การจัดการดูแลใช้สอยหรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธานและเจ้าของทรัพย์ได้นำมาสู่ทรัพย์ที่เป็นประธานโดยการนำมาติดต่อ
อุปกรณ์ที่แยกออกจากทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นการชั่วคราวก็ยังไม่ขาดจากการเป็นอุปกรณ์ของทรัพย์ที่เป็นประธานนั้น
อุปกรณ์ย่อมตกติดไปกับทรัพย์ที่เป็นประธาน เว้นแต่จะมีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
หมายความว่า อุปกรณ์ คือ สังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธาน เพื่อประโยชน์ในการดูแล ใช้สอยหรือรักษาทรัพย์นั้น อุปกรณ์นี้เจ้าของทรัพย์อาจนำใช้ติดต่อหรือปรับเข้ากับทรัพย์ประธาน หรืออาจเป็นของใช้ประกอบกับทรัพย์ที่เป็นประธาน เมื่อทรัพย์ประธานตกไปอยู่ที่ใด อุปกรณ์ย่อมติดไปด้วย หากไม่มีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
3. ดอกผลของทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 บัญญัติว่า “ดอกผลของทรัพย์” หมายความว่า ดอกผลธรรมดาและดอกนิตินัย
ดอกผลธรรมดา หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นผลิตผลจากตัวแม่ทรัพย์ซึ่งงอกเงยมาจากตัวทรัพย์เป็นปกติ ธรรมดา โดยตัวแม่ทรัพย์ยังคงสภาพเดิม
ดอกผลนิตินัย หมายความว่า ดอกผลที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เกิดจากการที่ได้ใช้แม่ทรัพย์นั้น และกฎหมายได้ให้การรับรองให้เป็นดอกผล
สิทธิซึ่งมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน หรือ สิทธิเหนือทรัพย์สิน ทรัพยสิทธิจะก่อตั้งขึ้นได้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายเท่านั้น และ ใช้ยันแก่บุคคลได้ทั่วไปไม่จำกัด และการเรียกร้องโดยอาศัยทรัพยสิทธิไม่มีอายุความเสียสิทธิ
1. กรรมสิทธิ์ หมายถึง สิทธิทั้งปวงภายในบังคับแห่งกฎหมายที่เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอย และจำหน่ายทรัพย์สินของตน และได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตาม และเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน จากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
2. สิทธิครอบครอง หมายถึง สิทธิที่จะยึดถือทรัพย์สินเพื่อตน ตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1367 ว่า “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง” สิทธิครอบครองเป็นสิทธิส่วนหนึ่งของกรรมสิทธิ์และเป็นสิทธิที่มีความยิ่งใหญ่รองจากกรรมสิทธิ์ เจ้าของสิทธิครอบครองมีอำนาจใช้สอยทรัพย์ ให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครอง ได้ดอกผล และโอนสิทธิครอบครองได้ คล้ายคลึงกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ ทั้งเป็นสิทธิที่ใช้ยันต่อบุคคลอื่นได้ทั่วไป เว้นแต่ผู้อื่นนั้นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเท่านั้น การได้สิทธิครอบครองนั้นจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ
การยึดถือทรัพย์สิน มีความหมายเพียงแค่ว่าได้เข้าครอบครองทรัพย์สินได้เท่านั้น และการยึดถือนี้ไม่จำเป็นจะต้องยึดถือหรือครอบครองนั้นไว้ด้วยตนเอง ผู้อื่นยึดถือหรือครอบครองแทนก็เป็นการยึดถือได้ตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1368 บัญญัติว่า “ บุคคลได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้ ” เช่น นายจ้างให้ลูกจ้างครอบครองทำนาแทนตน ก็ถือว่านายจ้างให้ยึดถือที่นานั้นแล้ว แม้ว่านายจ้างจะมิได้เข้าครอบครองทำนานั้นด้วยตนเองก็ตาม
เจตนายึดถือทรัพย์สินนั้นไว้เพื่อตน หมายความว่ามีเจตนาที่จะยึดถือ (ไม่ว่าจะยึดถือด้วยตนเองหรือผู้อื่นยึดถือไว้ให้ดังกล่าวมาแล้ว) ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและไม่จำเป็นที่จะต้องมีเจตนาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น เช่น ผู้เช่าบ้านย่อมถือว่าได้มีการยึดถือหรือครอบครองบ้านนั้นแล้ว และการที่เช่าบ้านไว้ย่อมแสดงว่าได้ยึดถือไว้เพื่อประโยชน์ของตนในอันจะได้ใช้สอยบ้านภายในกำหนดระยะเวลาเช่า ผู้เช่านั้นจึงได้สิทธิครอบครองในบ้านนั้น
3. ภาระจำยอม หมายถึง ข้อผูกพันที่ทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จำต้องยอมรับกรรมบางอย่าง ซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น
4. สิทธิอาศัย หมายถึง สิทธิประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้มาโดยผลของการเข้าทำนิติกรรมระหว่างคู่สัญญา ซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นให้สิทธิแก่คู่สัญญา อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิอาศัยในทรัพย์สินนั้น ซึ่งในทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1402 ระบุว่า “ บุคคลใดได้รับสิทธิอาศัยในในโรงเรือน บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิอยู่ในโรงเรือนนั้นโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า”
5. สิทธิเหนือพื้นดิน หมายถึง สิทธิที่บุคคลหนึ่งได้เป็นเจ้าขอโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งเพาะปลูกบนที่ดิน หรือใต้ดินของผู้อื่น โดยจะเสียค่าตอบแทนให้กับเจ้าของที่ดินด้วยหรือไม่ก็ได้ สิทธิเหนือพื้นดินจะได้มาก็แต่โดยทางนิติกรรมเท่านั้น ไม่อาจได้มาโดยทางอื่น
6. สิทธิเก็บกิน หมายถึง สิทธิที่บุคคลสามารถครอบครอง ใช้ และถือเอาซึ่งประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่น เป็นต้นว่า เจ้าของที่นามีสิทธิใช้ที่นาโดยประการต่าง ๆ ผู้ทรงสิทธิเก็บกินในที่นานั้นก็ใช้ที่นาทำนาได้ หรือจะนำที่นานั้นออกให้เช่าเพื่อเก็บค่าเช่าก็ได้เสมอกับเป็นเจ้าของเองทีเดียว เพียงแต่กรรมสิทธิ์ในที่นาดังกล่าวยังอยู่ที่เจ้าของบุคคลผู้มีสิทธิเช่นนี้เรียก “ผู้ทรงสิทธิเก็บกิน” และสิทธิเก็บกินจะมีได้ก็แต่ในอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น ไม่มีในสังหาริมทรัพย์
7. ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งที่ไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่มีสิทธิได้รับการชำระหนี้เป็นคราวๆ จากอสังหาริมทรัพย์นั้นๆหรือได้ใช้
8. จำนอง หมายถึง เจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์นั้น นำเอกสารจดทะเบียนของเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันการชำระหนี้
สิทธิซึ่งมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นการกระทำหรืองดเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง (มีสิทธิเหนือบุคคล) เช่น สิทธิของเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ เป็นสิทธิที่จะบังคับเอากับลูกหนี้หรือทายาทไม่อาจยันแก่บุคคลทั่วไปได้