ประเภท/ระบบกฎหมาย
ประเภท/ระบบกฎหมาย
1. ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Law)
1.1 ความเป็นมา
มีรากฐานมากจากชาวโรมัน โดยในรัชสมัย จักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian) พระมหากษัตริย์ ชาวโรมันทรงโปรดให้นักกฎหมายรวบรวมกฎหมายของโรมันให้ระบบ เป็นประมวลกฎหมายที่เรียก Corpus Juris Civillis หรือประมวลกฎหมายจัสติเนียน
1.2 แนวความคิดเกี่ยวกับคำพิพากษา
คำพิพากษาในคดีก่อน (Precedent) ไม่ถือว่าเป็นบรรทัดฐานหรือเป็นข้อผูกมัดที่ศาลหรือผู้พิพากษาในคดีหลังจะต้องตัดสินหรือพิพากษายึดตาม แตกต่างจากประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ซึ่งถือว่า คำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานที่ผู้พิพากษาหรือศาลในคดีหลังหรือคดีต่อมาต้องยึดถือไว้
1.3 ประมวลกฎหมาย
มักมีการจัดทำประมวลกฎหมายขึ้นเพื่อเป็นการรวบรวมตัวบทกฎหมายประเภทเดียวกันที่กระจัดกระจายอยู่เข้าด้วยกัน โดยจัดให้เป็นหมวดหมู่และมีข้อความเกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบ
1.4 กลุ่มประเทศที่ใช้ระบบกฎหมาย (Civil Law)
ไทย สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์
2. ระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (Common Law)
2.1 ความเป็นมา
มีที่มาจากประเทศ อังกฤษ ซึ่งอาศัยการนำคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนมาเป็นหลักในการพิพากษาหรือวินิจฉัยในคดีหลังที่มีข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันจนเกิดเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ คำตัดสินของผู้พิพากษาเป็นที่มาประการหนึ่งของหลักเกณฑ์กฎหมาย อย่างไรก็ตามในประเทศที่ใช้ระบบกฎหมาย คอมมอนลอว์เองก็มีการตรากฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมาใช้บังคับเช่นเดียวกัน
2.2 ระบบลูกขุน
ในประเทศอังกฤษระบบลูกขุนถือว่าเป็นการส่งเสริมบทบาทของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม ลูกขุนเป็นบุคคลธรรมดาที่ถูกเรียกมาให้พิจารณาข้อเท็จจริงของคดี ส่วนผู้พิพากษาเป็นผู้วินิจฉัยข้อกฎหมาย
2.3 กลุ่มประเทศที่ใช้ระบบกฎหมาย Common Law
อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
ประเภทของ “กฎหมาย”
1. แบ่งตามรูปแบบของกฎหมาย
1.1 กฎหมายลายลักษณ์อักษร Civil Law คือ กฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยผ่านกระบวนการในการตรากฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด
1.2 กฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายที่ไม่ได้บัญญัติขึ้น โดยผ่านกระบวนการในการตรากฎหมายที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เช่น กฎหมายจารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป
2. แบ่งตามความสัมพันธ์ของคู่กรณี
2.1 กฎหมายเอกชน (Private Law) คือ กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างราษฎรกับราษฎร หรือบุคคลกับบุคคลในรัฐเดียวกัน หรือรัฐกับรัฐ แต่รัฐจะต้องมีฐานะเท่าเทียมกับราษฎร มีความเสมอภาคกัน และไม่มีเอกสิทธิ์ใดๆ เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ เป็นต้น
2.2 กฎหมายมหาชน (Public Law) คือ กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับราษฎร ในฐานะที่รัฐมีฐานะเหนือกว่าเพราะเป็นผู้ปกครอง เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นต้น
3. แบ่งตามบทบาทหน้าที่ของกฎหมาย
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ (Substantive Law) คือ กฎหมายที่มีลักษณะเป็นส่วนเนื้อแท้ของกฎหมาย เป็นบทบัญญัติที่สั่งห้ามบุคคลให้กระทำหรืองดเว้นการกระทำ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งจะกำหนดสิทธิและหน้าที่ของคู่กรณี ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับของรัฐที่มีต่อบุคคล กำหนดว่าการกระทำใดเป็นความผิดและโทษที่จะได้รับ
3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ (Procedural Law) คือ เป็นกฎหมายที่มีหน้าที่ช่วยให้สภาพบังคับของกฎหมายสารบัญญัติเป็นไปได้ตามที่กำหนดไว้ เพราะเป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงวิธีการเพื่อให้ข้อห้ามข้อบังคับที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอาญา หรือสิทธิหน้าที่ซึ่งบัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่งได้รับการปฏิบัติตาม เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นต้น
4. แบ่งตามแหล่งกำเนิดกฎหมาย (Internal Law)
4.1 กฎหมายภายในประเทศ (Internal Law)
กฎหมายที่ออกโดยองค์กรที่มีอำนาจในการตรากฎหมายภายในประเทศ เช่น พระราชบัญญัติต่างๆของประเทศไทย เป็นต้น
4.2 กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law)
4.2.1 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง คือ กฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ในฐานะเป็นนิติบุคคล เช่น สนธิสัญญาระหว่างประเทศ เป็นต้น
4.2.2 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล คือ กฎหมายที่บังคับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นพลเมืองของรัฐหนึ่ง แต่ต้องไปมีนิติสัมพันธ์กับพลเมืองของอีกรัฐหนึ่งในทางแพ่ง เช่น การโอนสัญชาติ การได้สัญชาติ การสมรส เป็นต้น
4.2.3 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา คือ กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในคดีอาญา เมื่อพลเมืองรัฐกระทำความผิดอาญา เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
5. แบ่งตามสภาพบังคับของกฎหมาย
5.1 กฎหมายแพ่ง
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบของบุคคลตามกฎหมาย มีสภาพบังคับ เช่น การบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้คืนแก่เจ้าหนี้
5.2 กฎหมายอาญา
ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนในฐานะที่รัฐเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยมีสภาพบังคับ ได้แก่ ริบทรัพย์สิน ปรับ กักขัง จำคุก ประหารชีวิต
“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”
“บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย”
การบังคับใช้กฎหมาย
v ระยะเวลาที่กฎหมายใช้บังคับ
1. ให้ใช้ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
กรณีที่มีการให้ประกาศใช้กฎหมายโดยนับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมากจะเป็นกรณีที่เร่งด่วน จำเป็นต้องให้กฎหมายบังคับในทันที ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ 4 พ.ศ.2559) ในมาตรา 2 บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”
2. ให้ใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
กรณีนี้จะเป็นกรณีปกติที่มีการประกาศใช้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วกฎหมายทั่วไปมักจะใช้แบบนี้ ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2508 มาตรา 2 บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”
3. กำหนดระยะเวลาให้ใช้ในอนาคต
กรณีนี้โดยมากจะเป็นกรณีที่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นหรือประชาชนได้มีการเตรียมตัวเพื่อจะให้ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการกำหนดระยะเวลาบังคับใช้แบบนี้จะแยกได้อีก 3 กรณี คือ
3.1 มีการกำหนดวัน เดือน ปี ที่แน่นอนชัดเจน ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 กำหนดในมาตรา 3 ว่า “ประมวลกฎหมายอาญาท้ายพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2500” เป็นต้น
3.2 ไม่ได้กำหนดวัน เดือน ปี อย่างชัดเจน แต่มีการกำหนดระยะเวลาที่จะให้ใช้กฎหมายเมื่อพ้นช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 2 บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”
3.3 กำหนดให้ใช้ในอนาคตแต่ไม่ได้ระบุวันเวลาที่ชัดเจนแน่นอน เพียงแต่ระบุว่าหากจะให้ใช้บังคับเมื่อใดจะให้ออกเป็นกฎหมายลำดับรองมาใช้บังคับต่อไป ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 40 กำหนดให้หลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบให้ตราเป็นพระกฤษฎีกา เป็นต้น
สถานที่ที่กฎหมายใช้บังคับ
โดยหลักแล้วกฎหมายนั้นเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับแล้ว จะสามารถใช้ได้เฉพาะภายในราชอาณาจักร ซึ่งคำว่า “ราชอาณาจักร” นั้นหมายความดังนี้
1. พื้นดินประเทศไทย
2. พื้นน้ำ แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง คลอง บึงในประเทศไทย
3. ทะเลอันเป็นอ่าวไทย ตามพระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ.2502
4. ทะเลอันห่างจากชายฝั่งไทยไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล
5. พื้นอากาศเหนือ ข้อ 1-4
ยังมีกรณีที่กฎหมายไทยยังสามารถครอบคลุมไปถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งมีการกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 4 วรรคสอง ว่า “การกระทำความผิดในเรือไทย หรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดให้ถือว่ากระทำผิดในราชอาณาจักร”
นอกจากนั้นในประมวลกฎหมายอาญายังมีการกำหนดให้กรณีที่ความผิดบางประการแม้ได้กระทำนอกราชอาณาจักรก็ยังต้องรับโทษในราชอาณาจักร ถ้าเป็นความผิดที่ได้ระบุไว้ในมาตรา 5 เช่น ความผิดฐานก่อการร้าย ความผิดทางเพศบางมาตรา ความผิดฐานปลอมแปลงบางมาตรา ฯลฯ หรือในกรณีความบางฐานหากผู้กระทำเป็นคนไทยและรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดเกิดขึ้นหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายก็อาจร้องขอให้ลงโทษได้ในความผิดบางประการด้วยเช่นกัน