นิติกรรม
นิติกรรม
ลักษณะของนิติกรรม มีลักษณะดังนี้
1. ต้องมีการแสดงเจตนาของบุคคล คือ ต้องมีการกระทำของบุคคลโดยการแสดงออกมาให้ปรากฏ ให้บุคคลภายนอกรับรู้ เข้าใจในความต้องการของผู้แสดงเจตนา ซึ่งอาจแสดงออกมาในรูปใดก็ได้ ดังนี้
v แสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง โดยการพูด การเขียน การแสดงกิริยาท่าทางที่เป็นที่เข้าใจได้อย่างหนึ่งอย่างใด
v แสดงเจตนาโดยปริยาย เป็นการแสดงเจตนาออกมา เพียงแต่ไม่อาจเข้าใจได้ว่ามีความหมายอย่างไร แต่เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว พอจะเข้าใจได้ว่ามีความหมายอย่างไร เช่น การที่เจ้าหนี้ฉีกสัญญากู้ทิ้งย่อมเป็นการแสดงเจตนาโดยปริยายว่าปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ เป็นต้น
v แสดงเจตนาโดยการนิ่ง ตามกฎหมายหรือธรรมเนียมประเพณีให้ถือว่าการนิ่งเป็นการแสดงเจตนา แต่การนิ่งหรือการละเว้นในบางกรณีกฎหมายถือว่าเป็นการแสดงเจตนา เช่น มาตรา 570 กำหนดเอาไว้ว่าถ้าสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้วหากผู้เช่ายังคงครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ และผู้ให้เช่าไม่ทักท้วง ถือว่าทำสัญญาเช่ากันต่อไม่มีกำหนด หรือในกรณีปกติประเพณี หรือโดยสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างกัน หรือจากสิ่งที่คู่กรณีพึงปฏิบัติต่อกันโดยสุจริต ได้ก่อให้เกิดหน้าที่ที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจะพึงต้องแสดงเจตนา การนิ่งในลักษณะเช่นนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนา
2. การกระทำนั้นต้องประกอบด้วยใจสมัคร ปราศจากการสำคัญผิด , กลฉ้อฉล , ถูกข่มขู่
3. ต้องมุ่งให้ผลผูกพันทางกฎหมาย โดยประสงค์ให้มีผลผูกพันกันระหว่างคู่สัญญา
4. ต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดต่อกฎหมาย , ศีลธรรม
5. ต้องมุ่งก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในสิทธิ
การกระทำเพื่อก่อให้เกิดผลทางกฎหมายหรือก่อให้เกิดผลของนิติกรรม ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในสิทธิของบุคคล ตามวัตถุประสงค์แห่งนิติกรรมนั้น มีด้วยกัน 5 ประการ คือ
5.1 การก่อสิทธิ เป็นการก่อตั้งสิทธิใหม่ขึ้นจากสัญญาต่างๆ
5.2 การเปลี่ยนแปลงสิทธิ โดยทั้งสองฝ่ายยินยอม
5.3 การโอนสิทธิ ตกลงส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินจากฝ่ายหนึ่งไปอีกฝ่ายหนึ่ง
5.4 การสงวนสิทธิ การรับสภาพหนี้ เช่น หนี้ใกล้จะขาดอายุความ เจ้าหนี้จึงให้ลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงต้องเริ่มนับอายุความใหม่ จึงเป็นการสงวนสิทธิมิให้ขาดอายุความ หรือ ขอให้สิทธินั้นต่อไป โดยไม่ยอมสละสิทธิ
5.5 การระงับสิทธิ นิติกรรมที่ทำให้สิทธิเรียกร้องที่มีอยู่หมดไป
ประเภทของนิติกรรม
1. นิติกรรมฝ่ายเดียวกับนิติกรรมหลายฝ่าย
· นิติกรรมฝ่ายเดียว ได้แก่ การทำพินัยกรรม การปลดหนี้
· นิติกรรมสองฝ่าย ได้แก่ สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า สัญญาค้ำประกัน
2. นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำมีชีวิตอยู่กับนิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว
· นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ การรับสภาพหนี้
· นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว ได้แก่ พินัยกรรม
3. นิติกรรมมีค่าตอบแทนกับนิติกรรมไม่มีค่าตอบแทน
· นิติกรรมมีค่าตอบแทน ได้แก่ สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์
· นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน ได้แก่ สัญญาให้โดยเสน่หา สัญญายืมใช้คงรูป
หลักเกณฑ์เรื่องแบบของนิติกรรม
แบบของนิติกรรม หมายถึง วิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นพิเศษเพื่อเป็นหลักบังคับให้ผู้ทำนิติกรรมต้องทำตามให้ครบถ้วน มิฉะนั้นนิติกรรมจะตกเป็นโมฆะกฎหมายไม่ได้กำหนดว่านิติกรรมทั่วไปจะต้องมีแบบ นอกจากนิติกรรมบางอย่างที่กฎหมายเห็นว่าจำเป็นต้องทำตามแบบเนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ซึ่งอาจได้รับความเสียหายหากไม่ทราบว่านิติกรรมนั้นมีอยู่และไม่สามารถตรวจสอบได้จึงจำเป็นต้องมีหลักฐานการทำนิติกรรมไว้เพื่อใช้ในการอ้างสิทธิหรือโอนสิทธิไปยังบุคคลภายนอก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 152 บัญญัติไว้ว่า “การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ”
กฎหมายกำหนดให้แบบแห่งนิติกรรมไว้ 5 แบบ ดังนี้
1. แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เนื่องจากเป็นนิติกรรมที่มีความสำคัญมาก กฎหมายจึงกำหนดไว้ว่า นอกจากจะทำเป็นหนังสือแล้วต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย เช่น สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ , สัญญาจำนอง , เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี เป็นต้น
2. แบบที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เป็นนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดให้จดทะเบียนโดยไม่กำหนดให้ทำเป็นหนังสือ
3. แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
นิติกรรมแบบนี้คล้ายการจดทะเบียนต่างที่เพียงแต่ไปปรากฎตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แสดงตนโดยทำเป็นหนังสือไม่มีแบบพิมพ์หรือแบบฟอร์มให้
4. แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือระหว่างกันเอง
นิติกรรมที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำเป็นหนังสืออย่างน้อยสุดระหว่างกันเองซึ่งอาจจะมีประโยชน์สำหรับการใช้เป็นหลักฐานเพื่ออ้างอิงภายหลัง
5. แบบอื่นๆตามที่กฎหมายกำหนด
กล่าวคือ เป็นแบบเฉพาะตามที่กฎหมายกำหนดเป็นเรื่องๆไป ต่างจากนิติกรรม 4 แบบ ข้างต้น แต่เป็นนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นพิเศษ เช่น เช็คต้องมีรายการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ตั๋วสัญญาใช้เงินต้องมีรายการระบุไว้ มิฉะนั้นจะเป็นเช็คและตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่สมบูรณ์ เป็นต้น
กฎหมายกำหนดแบบต่างๆของนิติกรรมไว้แล้ว ดังนั้นคู่สัญญาจึงต้องปฏิบัติตามเพื่อให้การทำนิติกรรมนั้นมีความสมบูรณ์ หากคู่สัญญาไม่ทำตามแบบของนิติกรรมที่กำหนดไว้จะก่อให้เกิดผล ดังนี้
1) นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ
2) คู่กรณีกลับสู่สภาพเดิมก่อนทำนิติกรรม
3) นิติกรรมที่เป็นโมฆะอาจถือไม่เป็นโมฆะได้
4) โมฆกรรมไม่กระทบถึงทรัพยสิทธิอย่างอื่นนอกเหนือจากนิติกรรม
หลักเกณฑ์เรื่องวัตถุประสงค์ของนิติกรรม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 บัญญัติว่า “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงามของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ” หมายความว่า นิติกรรมที่สมบูรณ์นั้นจะต้องไม่มีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
1. ต้องห้ามชัดแจ้งด้วยกฎหมาย หมายถึง การทำนิติกรรมที่สมบูรณ์จะต้องไม่มีวัตถุประสงค์ที่กฎหมายห้ามมิให้กระทำ
2. เป็นการพ้นวิสัย คือ นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น สัญญาว่าจ้างชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้ว , สัญญาว่าจ้างจับพญานาค , จ้างผู้ชายอุ้มท้อง
3. เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น การทำสัญญาโดยต้องการให้เจ้าหน้าที่ใช้ตำแหน่งช่วยเหลือ (ติดสินบน) , การฮั้วประมูล
หลักเกณฑ์เรื่องการแสดงเจตนาในการทำนิติกรรม
1. การแสดงเจตนาซ่อนเร้น คือ การแสดงเจตนาหลอก เพราะผู้แสดงเจตนาได้แสดงเจตนาออกมาเพียงหลอก ๆ ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันจริงจังดังที่แสดงออกมา
ผลของการแสดงเจตนาซ่อนเร้น _ นิติกรรมยังคงสมบูรณ์อยู่ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายยังคงมีสิทธิและหน้าที่ตามนิติกรรมที่แสดงออกทุกอย่าง เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันแท้จริงในใจ จึงจะทำให้นิติกรรมที่แสดงออกมานั้นตกเป็น โมฆะ
2. การแสดงเจตนาลวง หมายถึง การที่คู่กรณี 2 ฝ่าย ไม่มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมกันจริง ๆ แต่ สมรู้กันแสดงเจตนาทำนิติกรรมอันหนึ่งเพื่อหลอกบุคคลภายนอก
ผลของนิติกรรมที่เกิดจากเจตนาลวงตกเป็น โมฆะ แต่ห้ามยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกที่สุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
3. การแสดงเจตนาอำพราง หรือ นิติกรรมอำพราง หมายถึง นิติกรรมที่ทำขึ้นโดยเปิดเผยและคู่กรณีมีเจตนาสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อปกป้องนิติกรรมอีกอันที่ประสงค์ให้ผูกพันอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามนิติกรรมอำพรางนั้น จะต้องทำให้ถูกต้องตาม “แบบ” ที่กฎหมายบังคับไว้ด้วย มิฉะนั้นนิติกรรมอำพรางนั้นย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้
4. การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด เป็นเรื่องการเข้าใจความจริงที่ไม่ถูกต้อง กล่าวคือเหตุการณ์เป็นอย่างหนึ่งแต่เข้าใจว่าเป็นอีกอย่างหนึ่ง การสำคัญผิดที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์แบ่งได้เป็น 2 กรณีคือ
4.1 การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม มีผลทำให้นิติกรรมเป็น โมฆะ
1) สำคัญผิดในตัวบุคคลคู่กรณีแห่งนิติกรรม
ตัวอย่างเช่น นายเอกให้เงิน 10,000 บาทกับฝาแฝดชื่อนายใหญ่ ซึ่งนายเอกเชื่อว่าเป็นนายเล็กแฝดผู้น้อง ถือเป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่เกี่ยวข้องในนิติกรรม การแสดงเจตนาของนายเอกเป็นโมฆะ
2) สำคัญผิดในลักษณะแห่งนิติกรรม
ตัวอย่างเช่น นายเอกต้องการจำนองที่ดินแก่นายโท แต่นายเอกอ่านหนังสือไม่ออกและเชื่อใจนายโท นายโทจึงนำสัญญามาให้ลงชื่อโดยบอกว่าเป็นสัญญาจำนอง แต่ความจริงเป็นสัญญาขายที่ดินหรือยกที่ดินให้นายโทหากมีการไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามสัญญาขายหรือสัญญาให้นิติกรรมนั้นถือเป็นการแสดงเจตนาทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ซึ่งเป็นโมฆะ
3) สำคัญผิดในวัตถุแห่งนิติกรรมฝ่ายที่สำคัญผิดต้องรับผิดชอบในตัวทรัพย์
ตัวอย่างเช่น นายดำต้องการซื้อม้าจากนายแดง แต่นายแดงนำเอาลามาส่งมอบให้โดยสำคัญผิดคิดว่า ลา คือ ม้า นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะ
4.2 การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์ เป็นความสำคัญผิดในมูลเหตุจูงใจให้ทำนิติกรรม ซึ่งหากเป็นการสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์นั้นเป็นสาระสำคัญ จะมีผลในทางกฎหมายทำให้การแสดงเจตนานั้นเป็น โมฆียะ
ตัวอย่างเช่น นายไก่สั่งให้นายไข่ปลูกบ้าน โดยเชื่อว่านายไข่เป็นวิศวกร นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ เพราะสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล
5. การแสดงเจตนาโดยถูกกลฉ้อฉล หมายถึง การสำคัญผิดซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาเอง หากเป็นเพราะมีบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งอาจเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอก มาหลอกลวงให้สำคัญผิด ผลของการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็น โมฆียะ
ตัวอย่างเช่น นายใหญ่เป็นพ่อค้ารถมือสองซื้อรถเก่ามาทำสีใหม่และเปลี่ยนเครื่องมาแล้ว ขายรถให้แก่นายเล็กโดยบอกว่าเป็นรถใหม่ ถือเป็นกลฉ้อฉล และการแสดงเจตนาของนายเล็กเป็นโมฆียะ
6. การแสดงเจตนาโดยถูกข่มขู่ หมายถึง การทำให้กลัวภัยอันใดอันหนึ่ง เพื่อให้เขาทำนิติกรรม ถ้าหากไม่ทำตามที่บอกจะได้รับภัย ผลของการแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่มีผลเป็น โมฆียะ
ตัวอย่างเช่น นายภมรขอยืมเงินนางอุบล 1,000,000 บาท โดยขู่ว่าถ้าไม่ให้จะเอาไฟเผาบ้าน การแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่มีผลเป็นโมฆียะ
1. โมฆกรรม หมายความว่า นิติกรรมใดหรือการกระทำใดที่กระทำลงไปนั้นเป็นการเสียเปล่าไม่มีผลตามกฎหมาย ในสายตาของกฎหมายเท่ากับว่าไม่ได้ทำกิจการนั้นเลย แม้จะแสดงเจตนาผูกพันกันประการใดก็ตาม สิทธิและหน้าที่ที่ผู้กระทำนิติกรรมหรือการดังกล่าวประสงค์ให้เกิดผลก็หาเกิดความผูกพันตามกฎหมายไม่ การเสียเปล่านี้มีมาแต่เริ่มแรกที่กระทำนิติกรรมต่อกัน
สรุปได้ว่า “โมฆกรรม” หมายถึง นิติกรรมที่เสียเปล่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย ไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่สามารถให้สัตยาบันให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ได้
2. โมฆียกรรม หมายความว่า นิติกรรมที่อาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะแต่เริ่มแรกได้แต่ตามความหมายทางกฎหมายนั้น นอกจากโมฆียกรรมอาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะแต่เริ่มแรกได้แล้ว โมฆียะกรรมอาจได้รับสัตยาบันทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์แต่เริ่มแรกได้เช่นกัน
สรุปได้ว่า “โมฆียะ” หมายถึง นิติกรรมที่มีผลจนกว่าจะถูกบอกล้างโดยผู้มีอำนาจบอกล้างตามกฎหมาย
การให้สัตยาบัน คือ การรับรองนิติกรรมที่เป็นโมฆียะให้มีผลสมบูรณ์โดยผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม เช่น ผู้แทนโดยชอบธรรม ซึ่งมีผลให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก แต่การให้สัตยาบันนั้นต้องทำภายหลังที่นิติกรรมอันเป็นโมฆียะได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
กำหนดระยะเวลาในการบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ กฎหมายกำหนดไว้เป็น 2 ช่วงเวลา ดังนี้
1) ต้องบอกล้างภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรือ
2) ต้องบอกล้างภายใน 10 ปี นับแต่ทำนิติกรรม
อายุความ
อายุความ หมายถึง ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ให้สิทธิเรียกร้องทางศาลภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ หากปล่อยไว้นานเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดจะไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ เรียกว่า “ขาดอายุความ”
ผลที่จะเกิดขึ้น หากคดีนั้นๆขาดอายุความ ได้แก่
1. ลูกหนี้ได้สิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้
2. ศาลจะยกคำฟ้อง หากคู่ความอีกฝ่ายยกเอาเรื่องอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้
เหตุผลที่กฎหมายมีการกำหนดอายุความ ได้แก่
1. เพื่อความยุติธรรมแก่ฝ่ายลูกหนี้
2. เพื่อเป็นการลงโทษผู้มีสิทธิแล้วไม่ใช้สิทธิ
3. เพื่อความสะดวกในเรื่องการหาพยาน หลักฐาน
4. เพื่อความสงบสุขเรียบร้อยในสังคม
5. เพื่อไม่ให้คดีความในศาลมีมากเกินควร