ความรู้กฎหมายเบื้องต้น
ความรู้กฎหมายเบื้องต้น
กฎหมายเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้ควบคุมความประพฤติหรือเป็นแนวทางปฏิบัติในสังคม โดยกฎหมายนั้นมีที่มาหรือแนวทางความคิดที่พัฒนามาจากศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณี ปฏิบัติ โดยมีจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนในสังคม เพื่อให้การอยู่ร่วมกันของคนในจำนวนมากไม่เกิดปัญหาใดๆและเพื่อสะท้อนถึงความต้องการของสมาชิกในสังคมทุกภาคส่วน
“ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั้นมีสังคม ที่ใดมีสังคม ที่นั้นมีกฎหมาย”
จักรพรรดิยุสตินิอานุสที่ 1 (Justinian) จักรพรรดิองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ยุสตินิอานุส จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออก “ประมวลกฎหมายจัสติเนียน หรือคอร์ปัส จูริส ซิวิลิส” (Corpus Juris Civills) เป็นต้นแบบของกฎหมายและแนวคิดในการจัดทำประมวลกฎหมายของประเทศต่างๆจนถึงปัจจุบัน
ความหมายของ “กฎหมาย”
ในทางวิชาการมีนักกฎหมายให้ความหมายของกฎหมายไว้แตกต่างกันไปเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.1 สำนักกฎหมายธรรมชาติ
เน้นเรื่องเหตุผลและความถูกต้อง โดยถือว่าเหตุผลและความถูกต้องมีคุณค่าสูงส่งเหนือกว่าอำนาจของผู้ปกครอง
ดังนั้น สำนักกฎหมายธรรมชาติ จึงเห็นว่า “กฎหมาย” คือ เหตุผลที่ถูกต้อง ซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถรับรู้ได้ด้วยตนเองเพราะเป็นสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ทุกคนกฎหมายจะมีเนื้อหาเหมือนกันทุกสถานที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และมนุษย์ทุกคนต้องปฏิบัติตามเหตุผลที่ถูกต้องนี้ กฎหมายของสำนักนี้มีคุณค่าสูงส่งเหนือกว่าคำสั่งของผู้ปกครองบ้านเมือง ดังนั้นคำสั่งหรือกฎหมายที่ออกโดยผู้ปกครองจึงขัดหรือแย้งกับเหตุผลไม่ได้เลย
1.2 สำนักกฎหมายบ้านเมือง
เป็นสำนักความคิดที่เน้นเรื่องอำนาจของผู้ปกครอง โดยถือว่าอำนาจหรือคำสั่งของผู้ปกครองเป็นสิ่งที่มีสถานะสูงสุด ไม่มีสิ่งใดมาขัดหรือแย้งกับอำนาจหรือคำสั่งดังกล่าวได้
ดังนั้น สำนักกฎหมายบ้านเมือง จึงเห็นว่า “กฎหมาย” คือ คำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ (อำนาจอธิปไตย) ซึ่งมีเนื้อหาชัดเจนแน่นอนบังคับให้ประชาชนต้องปฏิบัติตาม หากฝ่าฝืนย่อมได้รับโทษ กฎหมายตามความเห็นของสำนักนี้จึงเป็นไปตามคำสั่งของผู้ปกครอง โดยไม่ต้องคำนึงว่าคำสั่งของผู้ปกครองสอดคล้องกับเหตุผลหรือความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่
1.3 สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์
กฎหมายพัฒนามาจากศีลธรรมจนได้รับการยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและทุกคนต้องปฏิบัติตาม กฎหมายจะปรากฏตัวอยู่ในรูปแบบของจารีตประเพณีและมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ
กล่าวคือ กฎหมายไม่หยุดนิ่งตายตัว แต่จะมีวิวัฒนาการไปตามสังคม กฎหมายจึงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะบัญญัติหรือสั่งได้ทันทีทันใด
สรุปได้ว่า “กฎหมาย” หมายถึง กฎเกณฑ์ที่เป็นแบบแผนความประพฤติของมนุษย์ในสังคมซึ่งมีกระบวนการบังคับที่เป็นกิจจะลักษณะ
ลักษณะของ “กฎหมาย”
สามารถกำหนดลักษณะของกฎหมายได้ออกมาเป็น 5 ประการ ดังต่อไปนี้
1) กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ
2) กฎหมายจะต้องออกมาจากผู้มีอำนาจภายในรัฐ (รัฏฐาธิปัตย์)
3) กฎหมายจะต้องใช้บังคับได้เป็นการทั่วไป
4) กฎหมายจะต้องใช้บังคับได้เสมอไปจนกว่าจะมีคำสั่งให้ยกเลิกกฎหมายนั้น
5) กฎหมายจะต้องมีสภาพบังคับ
วิวัฒนาการของกฎหมายไทย
v สมัยสุโขทัย
จากหลักฐานที่ค้นพบโดยพิจารณาจากศิลาจารึก จะเห็นได้ว่าในสมัยสุโขทัยมีการกำหนดกฎหมายใช้อยู่แล้วหลายลักษณะ เช่น กฎหมายลักษณะโจร กฎหมายว่าด้วยการร้องทุกข์ กฎหมายลักษณะที่ดินและทรัพย์ ซึ่งการที่เราศึกษาจากศิลาจารึกจะทำให้เห็นได้ว่าในสมัยสุโขทัยนั้น รูปแบบของกฎหมายจะเป็นไปในลักษณะจารีตประเพณีที่คนทุกคนยึดถือปฏิบัติโดยอิงจากศีลธรรมเป็นหลัก แต่ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน
แต่ในขณะเดียวกันดินแดนที่อยู่ทางตอนเหนือใกล้ๆกับสุโขทัยก็ได้มีการตั้งราชธานีขึ้นมาโดยพระเจ้ามังรายซึ่งเป็นพระสหายกับพ่อขุนรามคำแหง โดยใช้ชื่อว่าอาณาจักร ล้านนา มีพระเจ้ามังรายเป็นปฐมกษัตริย์ ได้โปรดให้จารึกกฎหมายไว้ในใบลาน เรียกกันว่า “มังรายศาสตร์” หรือ “วินิจฉัยมังราย” โดยได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าแก่ของอินเดียผ่านทางมอญ ทำให้มังรายศาสตร์ถือเป็นกฎหมายที่รวบรวมบทบัญญัติต่างๆทั้งในทางแพ่ง อาญาและมีการกำหนดโทษ
v สมัยอยุธยา
หลังจากพระเจ้าอู่ทองได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นอาณาจักรใหม่ในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและภาคกลางได้ กรุงศรีอยุธยาก็เริ่มปกครองที่อิงหลักหรือได้รับอิทธิพลจาก อินเดีย
โดยกฎหมายที่สำคัญในสมัยนี้มีลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษรมากขึ้น กล่าวคือ กรุงศรีอยุธยาได้นำเอาคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ โดยนำเข้าจากมอญและลักษณะของคัมภีร์ถือเป็นประกาศิตจากสวรรค์ซึ่งถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นอมตะ ถือเป็นของสูง ที่ผู้เป็นกษัตริย์จะนำไปใช้ในการปกครองราษฎร นอกจากนี้ยังมี พระราชศาสตร์ ซึ่งเป็นคำบรมราชวินิจฉัยอรรถคดีต่างๆที่กษัตริย์ได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ในราชการแผ่นดินหรือสภาพบุคคลในสังคม โดยพระบรมราชวินิจฉัยนั้นๆ มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ขัดต่อ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ก็จะมีกฎหมายทั่วไปที่พระเจ้าแผ่นดินทรงตราขึ้นมาเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ ในพระราชอาณาจักรซึ่งเรียกชื่อรวมว่า “พระราชกำหนดบทพระอัยการ”
v สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มี พระอัยการ เป็นกฎหมายที่มีลักษณะเป็นกฎหมายแม่บทเรียกชื่อว่า กฎหมายตราสามดวง เปรียบได้กับ รัฐธรรมนูญ ซึ่งในกฎหมายตราสามดวงก็ได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากกฎหมายเดิมตกหล่นขาดหายไปเมื่อตอนกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ทำให้เมื่อนำมาใช้จึงวิปริตผิดเพี้ยน ไม่สามารถตัดสินคดีได้อย่างยุติธรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดให้นำมาชำระใหม่กลายเป็นกฎหมายตราสามดวง
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระองค์มีพระประสงค์ให้ปฏิรูปบ้านเมืองให้ทัดเทียมกับชาติตะวันตก ด้วยเหตุที่รัชกาลที่ 4 เราเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต โดยสาเหตุประการหนึ่งคือ การที่ระบบกฎหมายของเราชาวต่างชาติมองว่าล้าหลัง ป่าเถื่อน และจะไม่ยอมขึ้นศาลไทยเป็นอันขาด ทำให้ศาลไทยไม่สามารถดำเนินคดีกับชาวต่างชาติหรือบรรษัทของชาวต่างชาติได้ เมื่อรัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ปฏิรูประบบศาลและจัดระบบกฎหมายเสียใหม่ โดยทรงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจชำระกฎหมายและจัดทำร่างกฎหมายในปี พ.ศ.2440 โดยมีพระประสงค์จะให้ประเทศไทยใช้ระบบกฎหมายแบบ ซิวิลลอว์ (Civil Law)
ซึ่งคณะกรรมการร่างกฎหมายประกอบด้วยนักกฎหมายชาวไทยและที่ปรึกษาชาวต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เบลเยี่ยม ฮอลันดา โดยได้ดำเนินการร่างกฎหมาย อาทิเช่น กฎหมายลักษณะอาญา กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฯลฯ ซึ่งกฎหมายลักษณะอาญาได้ร่างเสร็จในปี พ.ศ.2451 ถือเป็น “ประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทย” โดยใช้ชื่อ “กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127”