เอกเทศสัญญา
เอกเทศสัญญา
เอกเทศสัญญา คือ สัญญาที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดรายละเอียดเอาไว้เป็นการเฉพาะ เนื่องจากเป็นสัญญาที่ใช้เป็นการทั่วไป แต่สัญญาตามกฎหมายไม่ได้มีเพียงที่กำหนดในเอกเทศสัญญาเท่านั้น บุคคลยังมีเสรีภาพในการทำสัญญาอื่นๆได้อีก เพียงแต่หากเป็นเอกเทศสัญญาแล้วต้องตกอยู่ภายใต้บทบังคับของบทบัญญัติเฉพาะสำหรับเอกเทศสัญญานั้นๆจะนำเรื่องนิติกรรมสัญญาทั่วไปมาใช้ได้เฉพาะเรื่องที่ไม่มีบัญญัติไว้ในบทบัญญัติของเอกเทศสัญญานั้น
สำหรับเอกเทศสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ได้แก่ ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน ยืม ฝากทรัพย์ ค้ำประกัน จำนอง จำนำ เก็บของคลังสินค้า ตัวแทน นายหน้า ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ บัญชีเดินสะพัด ประกันภัย ตั๋วเงิน หุ้นส่วนและบริษัท สมาคม
1. ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป
2. ต้องมีการแสดงเจตนาตรงกัน
3. ต้องมีวัตถุประสงค์
การก่อให้เกิดสัญญา
1. องค์ประกอบในการก่อให้เกิดสัญญา สัญญาเกิดขึ้นด้วยการแสดงเจตนา ซึ่งคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเป็น “คำเสนอ” และอีกฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเป็น “คำสนอง”
1.1 เงื่อนไขในการก่อให้เกิดสัญญา สัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ฝ่ายหนึ่งมีคำเสนอ อีกฝ่ายหนึ่งมีคำสนอง
ก. ความสามารถของคู่สัญญา หากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีความสามารถตามที่กฎหมายกำหนด สัญญาต้องเป็น “โมฆียะ” (ผู้เยาว์ , บุคคลวิกลจริต , คนเสมือนไร้ความสามารถ)
ข. ความยินยอมของคู่สัญญา ทั้งสองฝ่ายต้องมีความตกลงยินยอมร่วมกัน
ค. วัตถุประสงค์ นิติกรรมต่างๆต้องมีวัตถุประสงค์ และวัตถุประสงค์ต้องไม่ผิดกฎหมาย , เป็นการพ้นวิสัย หรือขัดต่อศีลธรรม ความสงบ มิฉะนั้นนิติกรรมเป็น “โมฆะ”
1.2 เงื่อนไขในความสมบูรณ์แห่งสัญญา
ก. โมฆะและโมฆียะ
1) สัญญาที่ทำขึ้นและมีผลบังคับโดยสมบูรณ์
2) สัญญาที่ทำขึ้น แต่ไม่อาจมีผลบังคับ เรียกว่า โมฆียะ คือ สัญญาที่ทำขึ้นโดยบุคคลที่มีความบกพร่องเรื่องความสามารถ และสัญญาที่ทำขึ้นโดยกลฉ้อฉล ถูกข่มขู่ หรือทำขึ้นโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน
3) สัญญาที่ทำขึ้นแต่ไม่มีผลบังคับใช้โดยสิ้นเชิง เรียกว่า โมฆะ คือ สัญญาที่ไม่อาจให้สัตยาบัน
ข. การไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นที่ต้องห้ามของกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีงาม
1.3 การแสดงเจตนา คำเสนอและคำสนองต้องตรงกัน
ก. การแสดงเจตนาโดยตรงหรือโดยชัดแจ้ง ทำเป็นหนังสือ , กิริยาท่าทาง เป็นต้น
ข. การแสดงเจตนาโดยอ้อมหรือโดยปริยาย การกระทำที่ผู้กระทำทำไปโดยมีวัตถุประสงค์อื่น
ค. การแสดงเจตนาโดยการนิ่ง ตามหลักการนิ่งไม่เป็นการแสดงเจตนา
กรณีที่ 1 ข้อยกเว้นตามบัญญัติของกฎหมาย
กรณีที่ 2 ข้อยกเว้นตามหลักความซื่อสัตย์สุจริตซึ่งคู่กรณีควรมีต่อกัน
2. คำเสนอและคำสนอง
2.1 คำเสนอ หมายถึง การแสดงเจตนาซึ่งเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวที่เสนอไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อขอให้บุคคลฝ่ายนั้นร่วมประสงค์ทำสัญญา
ลักษณะของคำเสนอ
1) คำเสนอเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่มีผลผูกพันผู้เสนอ
2) คำเสนออาจอยู่ต่อหน้าหรือไม่ก็ได้ อาจแสดงด้วยวาจา ลายลักษณ์อักษร กิริยาต่างๆ
3) คำเสนอต้องชัดเจนเพียงพอที่จะให้อีกฝ่ายตอบ “ตกลง” หรือ “ยอมรับ”
4) เมื่อผู้เสนอได้แสดงคำเสนอไปแล้ว ผู้เสนอไม่มีสิทธิปฏิเสธหรือเลือกปฏิบัติ
5) คำเสนอไม่จำเป็นต้องกระทำหรือเสนอไปยังบุคคลหนึ่ง
ประเภทของคำเสนอ
1) คำเสนอเฉพาะหน้า อาจกระทำได้ด้วยการเสนอต่อบุคคลที่อยู่เฉพาะหน้า คือ พูดคุยกันต่อหน้า หรือพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ตอบโต้กัน ทำให้สามารถเข้าใจได้ทันทีในขณะนั้น ถือว่าเป็นคำเสนอเฉพาะหน้า คำเสนอเฉพาะหน้าย่อมรู้ผลได้ทันทีว่า คำสนองตอบมาจะตรงกับคำเสนอหรือไม่ สัญญาจะเกิดขึ้นหรือไม่ เว้นไว้แต่ว่าผู้เสนอจะกำหนดเวลาให้ตอบคำสนองในภายหลังหรือภายในระยะเวลาที่กำหนด
2) คำเสนออยู่ห่างโดยระยะทาง อาจกระทำได้ด้วยส่งคำเสนอไปยังต่างจังหวัด หรือต่างสำนักงาน คำเสนอต้องใช้เวลาเดินทาง เช่น ส่งคำเสนอไปทางไปรษณีย์ ผู้เสนอต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรในการที่จะให้ผู้รับคำเสนอตอบรับคำสนองกลับมา
ผลของคำเสนอ เมื่อมีการแสดงเจตนามีผลเป็นคำเสนอแล้ว คำเสนอนั้นจะมีผลตามกฎหมายอย่างไร สามารถแยกพิจารณาได้ ดังนี้
(1) คำเสนอที่กระทำต่อบุคคลอยู่เฉพาะหน้าและมิได้กำหนดระยะเวลา คำเสนอเฉพาะหน้าได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อส่งคำเสนอไปย่อมได้คำตอบสนองทันทีว่าคำสนองที่ตอบกลับมาตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรงกับคำเสนอ คำเสนอนั้นก็สิ้นผล หรือสิ้นความผูกพัน
ตัวอย่างเช่น นายปราโมทย์เสนอขายรถยนต์ให้นายปรีดาราคาสองแสนบาท นายปรีดารับฟังแล้วก็นิ่งเฉยไม่ตอบแต่ประการใด หรือว่าตอบว่าไม่ซื้อ เท่ากับเป็นการบอกปัด หรือตอบแต่บอกว่าให้ลดราคาให้เหลือหนึ่งแสนแปดหมื่นบาทได้มั้ย เช่นนี้เป็นคำสนองที่ไม่ตรงกับคำเสนอ นายปราโมทย์อาจตอบ ตกลงขาย หรือให้นายปรีดาไปคิดก่อน และมาให้คำสนองอีก หรือตอบปฏิเสธไม่ขายก็ได้
(2) คำเสนอที่กำหนดระยะเวลา เมื่อกำหนดระยะเวลาไว้ให้ผู้รับคำเสนอทำคำสนอง ผู้เสนอจะต้องผูกพันต่อคำเสนอนั้นจนกว่าจะหมดระยะเวลา จะถอนคำเสนอก่อนหมดระยะเวลาไม่ได้ คำเสนอที่กำหนดระยะเวลาให้ตอบสนองนี้ หากใช้กับผู้อยู่ห่างโดยระยะทาง ผู้เสนอต้องกำหนดระยะเวลาให้ตอบ คำสนองยาวมากขึ้นเป็น 15 วัน หรือ 30 วัน
ส่วนหลักการคงยึดหลักเดียวกันว่ากำหนดระยะเวลาไว้แล้วจะถอนคำเสนอก่อนกำหนดไม่ได้ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาแล้วไม่มีคำสนองกลับมา คำเสนอก็สิ้นผลผูกพัน
ตัวอย่างเช่น นายปราโมทย์เสนอขายรถยนต์ให้นายปรีดาว่า ถ้าสนใจก็ให้ตอบมาภายใน 7 วัน ดังนี้ คำเสนอของนายปราโมทย์จะต้องคงมีอยู่ตลอด 7 วัน จะถอนคำเสนอได้ต่อเมื่อครบ 7 วันแล้ว
(3) คำเสนอที่เสนอไปยังผู้อยู่ห่างโดยระยะทาง แต่มิได้กำหนดระยะเวลาไว้ ผู้ให้คำเสนอจะต้องให้ระยะเวลาพอสมควร กล่าวคือ จะถอนคำเสนอของตนเสียภายในเวลาก่อนคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวตอบสนองนั้นไม่ได้
ตัวอย่างเช่น นายปราโมทย์เสนอขายรถยนต์ให้นายอินคำซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ราคาสองแสนบาท โดยมิได้กำหนดระยะเวลาให้ตอบคำสนองกลับ นายปราโมทย์ต้องพึงคาดหมายไว้ว่า ตนได้ส่งคำเสนอไปจะใช้เวลาเดินทางกี่วัน เช่น 5 วัน เมื่อนายอินคำรับคำเสนอแล้ว คงต้องใช้เวลาคิดพิจารณาตัดสินใจอีก 5 วัน แล้วจึงทำคำสนองตอบกลับส่งทางไปรษณีย์ ใช้เวลาเดินทางอีก 5 วัน รวมเป็น 15 วัน นี้คือระยะเวลาอันพึงคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวตอบสนองนั้น ฉะนั้นภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันส่งคำเสนอ นายปราโมทย์จะถอนคำเสนอไม่ได้ แต่ถ้าตามระยะเวลาอันพึงคาดหมายว่าจะได้รับคำตอบสนองผ่านพ้นไปแล้วคำเสนอนั้นก็สิ้นผลผูกพัน
(4) ผู้เสนอตายหรือไร้ความสามารถก่อนมีคำสนองตอบ ผู้ตอบสนองได้ทราบแล้วว่า ผู้ให้คำเสนอได้ถึงแก่ความตาย หรือกลายเป็นผู้ไร้ความสามารถ (วิกลจริต คนเสมือนไร้ความสามารถ คนไร้ความสามารถ) เสียแล้ว คำเสนอนั้นก็สิ้นผลผูกพัน แม้มีคำสนองกลับมาภายในระยะเวลาที่กำหนด สัญญาก็ไม่เกิดขึ้น
2.2 คำสนอง หมายถึง การแสดงออกที่มุ่งให้เกิดสัญญา ต้องแสดงออกซึ่งความยินยอมตรงข้อความที่ได้กำหนดไว้ในคำเสนอ
ลักษณะของคำสนอง
1) คำสนองเป็นการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง โดยปริยาย และโดยการนิ่ง
2) หากคำสนองยังไม่ได้ส่งไปหรือส่งไปยังไม่ถึงผู้รับ = สัญญายังไม่เกิด
3) หากในคำสนองมีข้อความเพิ่มเติม ถือเป็นการบอกปัดไม่รับคำเสนอ
4) คำสนองต้องมุ่งเจาะจงไปยังผู้เสนอ
ผลของคำสนอง เมื่อผู้รับคำเสนอได้แสดงเจตนาเป็นคำสนองแล้ว จะมีผลทางกฎหมายเพียงใด สามารถแยกพิจารณาได้ ดังนี้
1. เมื่อมีการสนองรับตามคำเสนอทุกประการก่อนคำเสนอสิ้นความผูกพัน สัญญาจะเกิดขึ้นทันที
2. เมื่อทำคำสนองแล้วจะถอนคำสนองไม่ได้ เว้นแต่เป็นคำสนองที่ส่งไปถึงผู้เสนอที่อยู่ห่างโดยระยะทาง และการบอกถอนคำสนองได้ไปถึงผู้เสนอก่อนหรือพร้อมกับคำสนอง คำสนองนั้นจึงจะถอนได้
3. คำสนองไม่สิ้นความผูกพันเพราะเหตุผู้สนองตายหรือตกเป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ เว้นแต่ผู้สนองนั้นได้แสดงเจตนาไว้ในคำสนองด้วยว่าถ้าตนตายหรือตกเป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถก่อนคำสนองจะไปถึงผู้เสนอให้คำสนองนั้นสิ้นความผูกพัน คำสนองนั้นจึงสิ้นความผูกพันได้
4. คำสนองล่วงเวลา หมายถึง คำสนองที่ไปถึงผู้เสนอช้ากว่าเวลาที่กำหนดให้ทำคำสนอง หรือคำสนองที่เห็นโดยประจักษ์ว่าได้สั่งโดยทางการแล้ว ซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในกำหนดเวลาที่ให้ทำคำสนอง แต่คำสนองนั้นมาถึงล่าช้ากว่ากำหนด และผู้เสนอได้บอกกล่าวแก่ผู้สนอง โดยพลันว่ากำหนดสนองนั้นมาถึงช้ากว่ากำหนด ผลของคำสนองล่วงเวลา คือ ทำให้คำเสนอสิ้นความผูกพัน และคำสนองที่ไปถึงล่วงเวลานั้นกลายเป็นคำเสนอขึ้นมาใหม่
5. คำสนองที่มีข้อความเพิ่มเติมหรือมีข้อจำกัด หรือมีข้อแก้ไขที่ไม่ตรงกับข้อความในคำเสนอทุกประการ ถือว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับคำเสนอ ซึ่งมีผลให้คำเสนอสิ้นความผูกพัน และคำสนองนั้นจะกลายเป็นคำเสนอขึ้นมาใหม่
การเกิดสัญญา
1. การเกิดสัญญาโดยทั่วไป มีดังต่อไปนี้
ก. หลักเบื้องต้นของการเกิดสัญญา
ข. เวลาที่เกิดสัญญา สามารถพิจารณาได้ 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 หากบุคคลทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันโดยระยะทาง สัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อคำสนองไปถึงผู้เสนอ
กรณีที่ 2 หากบุคคลทั้งสองฝ่ายอยู่เฉพาะหน้า และมีการเสนอกันเฉพาะหน้าและมิได้บ่งระยะเวลาให้สนองรับ หากได้สนองรับในทันทีสัญญาเกิดเวลานั้น
ค. สถานที่ซึ่งเกิดสัญญา
2. กรณีที่สัญญาไม่เกิด
สัญญาจะไม่เกิดขึ้นหากทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ตกลงสาระสำคัญของสัญญาจนครบทุกข้อ กรณีที่สองฝ่ายตกลงกันว่าสัญญาจะเกิดขึ้นต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้ายังไม่ทำสัญญาไม่เกิด
การตีความสัญญา
ก. การตีความสัญญาไปตามประสงค์ในทางสุจริต
ข. ปกติประเพณี
ค. หลักที่ใช้ประกอบในการตีความสัญญา มีดังต่อไปนี้
1) การหาเจตนารมณ์ของคู่สัญญาจะต้องพิจารณาสัญญานั้นทั้งฉบับ
2) ถ้ามีสัญญาหลายฉบับ ต้องพิจารณาทุกฉบับร่วมกัน
3) บางกรณีการแสวงหาเจตนารมณ์ของคู่สัญญาในขณะทำสัญญาหาได้จากการที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกัน
4) หากเดิมคู่สัญญาตกลงกันด้วยวาจาอย่างหนึ่ง แต่เมื่อทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกลับแตกต่างจากที่ตกลงด้วยวาจาให้ถือ ตามลายลักษณ์อักษร
5) หากข้อความในสัญญาเกิดขัดแย้งกันเองจนหาเจตนารมณ์ของคู่กรณีไม่ได้ศาลอาจรับฟังข้อเท็จจริงอื่นเพื่อประกอบการตีความ
6) สัญญานั้นต้องตีความไปในทางที่มีผลบังคับได้
7) หากกรณีที่เป็นข้อสงสัยให้ตีความในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้น
8) หากในเอกสารนั้นมีจำนวนเงินที่เป็นทั้งตัวเลขและตัวอักษร และปรากฏว่าตัวเลขและตัวอักษรนั้นไม่ตรงกัน หากศาลไม่อาจหยั่งทราบเจตนาอันแท้จริงได้ต้องถือเอา จำนวนเงินที่เป็นตัวอักษรนั้นเป็นประมาณ
9) หากจำนวนเงินหรือปริมาณได้แสดงไว้เป็นตัวอักษรหลายแห่งหรือเป็นตัวเลขหลายแห่ง แต่ละแห่งไม่ตรงกันให้เอา จำนวนเงินหรือปริมาณที่น้อยสุด
10) กรณีที่ทำเอกสารไว้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นฉบับเดียวหรือหลายฉบับ โดยมีภาษาไทยด้วย ถ้าข้อความในหลายภาษานั้นต่างกันและมิอาจหยั่งรู้เจตนาของคู่กรณีได้ให้ถือตาม ภาษาไทย
11) ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน และมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
12) ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายห้ามไว้โดยตรง คู่สัญญาย่อมตกลงกันในเรื่องใดๆได้ทั้งสิ้น เว้นแต่เรื่องที่ได้ตกลงกันนั้นขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
13) หากสัญญานั้นมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือเป็นการพ้นวิสัยหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญานั้นเป็น โมฆะ
14) สัญญาเป็น โมฆียะ เพราะเหตุบกพร่องเรื่องความสามารถ สำคัญผิด กลฉ้อฉลหรือข่มขู่
ผลแห่งสัญญา
1. ผลแห่งสัญญาทั่วไป แยกพิจารณาได้ดังนี้
ก. ผลผูกพันระหว่างคู่สัญญา คำเสนอและคำสนองตรงกัน ก่อให้เกิดการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือ “เจ้าหนี้” และ “ลูกหนี้”
ข. ผลบังคับทางกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญา ย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะเรียกให้ลูกหนี้ปฏิบัติการชำระหนี้
ค. ข้อตกลงเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติบังคับแห่งหนี้ ห้ามมิให้ลูกหนี้ทำความตกลงยกเว้นมิให้ตนต้องรับผิดเพื่อกลฉ้อฉลไว้ล่วงหน้า
ง. สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก เช่น สัญญาประกันชีวิต ผู้รับประกันและผู้เอาประกันเป็นคู่สัญญากัน
2. ผลแห่งสัญญาต่างตอบแทน แยกพิจารณาได้ดังนี้
ก. ผลแห่งสัญญาต่างตอบแทนว่าด้วยการชำระหนี้
เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ก็จะเรียกให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้แก่ตนไม่ได้
ข. ผลแห่งสัญญาต่างตอบแทนว่าด้วยการรับผลแห่งภัยพิบัติ หากเกิดกรณีที่การชำระหนี้ของคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติได้เพราะพ้นวิสัย จะต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ต้องรับผลแห่งภัยพิบัตินั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้
1) กรณีที่ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องรับผิด อาจเป็นเพราะภัยพิบัตินั้นเกิดจากการกระทำของบุคคลภายนอกหรือเหตุสุดวิสัย หากกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่ได้โอนไปยังเจ้าหนี้ ลูกหนี้ต้องรับผลแห่งภัยพิบัตินั้น กล่าวคือ ฝ่ายลูกหนี้ชำระหนี้ไม่ได้เพราะเหตุสุดวิสัย และขณะเดียวกันก็ไม่สามารถเรียกร้องการชำระหนี้จากอีกฝ่ายหนึ่งด้วย
2) กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องรับผิดชอบ
กรณีที่ 1 เจ้าหนี้มีความผิด ลูกหนี้ย่อมหลุดพ้นจากการชำระหนี้และยังมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทนด้วย
กรณีที่ 2 ลูกหนี้มีความผิด เจ้าหนี้ย่อมไม่มีภาระจะต้องทำการชำระหนี้ตอบแทนให้แก่ลูกหนี้ แม้ว่าทรัพย์นั้นจะเสียหายเพียงบางส่วนแต่ก็ไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้และมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
การเลิกสัญญา
1. สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ก. เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้กำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้ชำระภายในเวลานั้น ถ้าฝ่ายนั้นยังไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดอีกฝ่ายหนึ่งสามารถบอกเลิกสัญญาได้
ข. หากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา อีกฝ่ายหนึ่งสามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันที
ค. เมื่อการชำระหนี้ทั้งหมดกลายเป็นพ้นวิสัยเพราะความผิดของลูกหนี้เจ้าหนี้บอกเลิกสัญญาได้
2. สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยข้อสัญญา
กรณีที่คู่สัญญาได้ตกลงกันกำหนดสิทธิในการเลิกสัญญาไว้ล่วงหน้าว่าถ้ามีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นสัญญาต้องเลิก เมื่อมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นก็ให้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่คู่กรณี
ผลของการบอกเลิกสัญญา
1. การกลับคืนสู่ฐานะเดิมของคู่สัญญา
หากคู่สัญญาฝ่ายใดผิดสัญญาเป็นเหตุให้อีกฝ่ายเสียหาย ฝ่ายเสียหายมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย (ไม่จำเป็นต้องกลับสู่สถานะเดิมถ้าไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม)
2. การชำระหนี้ของคู่สัญญาในการเลิกสัญญา
กรณีต้องมีการชำระหนี้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายจะชำระหนี้ก็ได้
3. ความระงับสิ้นไปของสิทธิเลิกสัญญา
กฎหมายให้สิทธิแก่คู่สัญญาฝ่ายที่ไม่มีสิทธิเลิกสัญญาได้มีโอกาสกำหนดระยะเวลาเพื่อให้คู่สัญญาฝ่ายนั้นเลือกว่าจะเลิกสัญญาหรือไม่ หากฝ่ายที่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาไม่แจ้งถือว่าสิทธิระงับ
1. ประเภทของสัญญายืม
เป็นเอกเทศสัญญาที่คู่สัญญาที่บุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้ให้ยืม” ให้บุคคลอีกฝ่ายที่เรียกว่า “ผู้ยืม” ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า (โดยทั่วไปคือไม่มีค่าตอบแทน) และจะคืนเมื่อได้ใช้สอยทรัพย์นั้นเสร็จแล้ว (มาตรา 640) มี 2 ประเภท คือ
· สัญญายืมใช้คงรูป (Loan foe use)
· สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง (Loan for consumption)
แม้สัญญาทั้งสองจะบริบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมและเป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทนเช่นเดียวกัน แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้
2. การกู้ยืมเงิน
การกู้ยืมเงินเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองแบบหนึ่ง เพียงแต่มีบทบัญญัติที่พิเศษ กล่าวคือ
1. การกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาท ถ้าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้กู้จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ (มาตรา 653) คือจะเอาพยานบุคคลมาสืบว่ามีการกู้ยืมเงินกันไม่ได้
2. กฎหมายไม่ยอมให้คู่สัญญาตกลงกำหนดดอกเบี้ยได้ตามอำเภอใจ ตามกฎหมายการให้กู้โดยเรียกดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี มีความผิดดอกเบี้ยทั้งหมดตกเป็น โมฆะ (ไม่ใช่โมฆะเฉพาะส่วนที่เกินอัตรา) แต่ผู้กู้ยังมีหน้าที่ชำระเงินต้น
ข้อสังเกต กรณีสัญญากู้ยืมเงินที่ระบุว่าให้คิดดอกเบี้ยกันตามกฎหมาย แต่ไม่ได้กำหนดอัตราว่าเท่าใดนั้นต้องคิดดอกเบี้ยกัน ร้อยละ 7.5 ต่อปี
ซื้อขาย คือ สัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า “ผู้ขาย” โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า “ผู้ซื้อ” และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย
1. หลักเกณฑ์ของสัญญาซื้อขาย มีดังนี้
1) การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดา ถ้าซื้อขายกันมีราคาต่ำกว่า 20,000 บาท ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือไม่ต้องมีการวางมัดจำไว้ หรือไม่ต้องมีการชำระหนี้บางส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะตกลงกันด้วยวาจาสัญญาซื้อขายเกิดขึ้นแล้ว
แต่ถ้าสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อขายกันนั้น มีราคาเกินกว่า 20,000 บาทขึ้นไป และเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่ต่อมาภายหลังผู้ซื้อไม่ชำระราคาหรือชำระไม่ครบถ้วน หรือผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินให้ไม่ครบถ้วน ผู้ซื้อจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ต้องมีการทำหลักฐานเป็นหนังสือ หรือวางมัดจำไว้ หรือชำระหนี้บางส่วน อย่างใดอย่างหนึ่ง
2) การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ต้องทำตาม “แบบ” คือ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นสัญญาซื้อขายที่ตกลงกันไว้แล้วนั้นย่อมเป็น “โมฆะ”
สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ได้แก่
@ เรือกำปั่น หรือเรือที่มีระวางตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป
@ เรือกลไฟ หรือเรือยนต์มีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป
@ แพ หมายความเฉพาะแต่แพที่เป็นที่อยู่อาศัยของคน
@ สัตว์พาหนะ หมายความถึงสัตว์ที่ใช้ในการขับขี่ลากเข็นและบรรทุกซึ่งสัตว์เหล่านี้ต้องทำตั๋วรูปพรรณแล้ว ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย ลา ล่อ
2. สัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
สัญญาจะซื้อจะขาย
คือ การที่คู่กรณีตกลงในขั้นแรกเพียงว่าจะทำสัญญากันแล้วเท่านั้น ส่วนกรรมสิทธิ์จะ โอนไปเมื่อคู่สัญญาได้ทำสัญญาซื้อขายตามแบบในภายหลังอีกครั้ง
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
คือ คู่กรณีตกลงกันทุกเรื่องโดยเสร็จสมบูรณ์และมีการระบุทรัพย์สินที่ขายแน่นอน เรียกกันว่า “ทรัพย์เฉพาะสิ่ง” เกิดขึ้น
สัญญาเช่าซื้อคือสัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินของตนออกให้ผู้อื่นเช่าเพื่อใช้สอยหรือเพื่อให้ได้ประโยชน์และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์นั้นหรือจะให้ทรัพย์สินที่เช่าตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อเมื่อได้ใช้เงินจนครบตามที่ตกลงไว้โดยการชำระเป็นงวดๆจนครบตามข้อตกลง
สัญญาเช่าซื้อมิใช่สัญญาซื้อขายผ่อนส่งแม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันเรื่องชำระราคาเป็นงวดๆ ก็ตามเพราะการซื้อขายผ่อนส่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นของผู้ซื้อทันทีขณะทำสัญญาไม่ต้องรอให้ชำระราคาครบแต่ประการใดส่วนเรื่องสัญญาเช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าบอกเลิกสัญญาบรรดาเงินที่ได้ชำระแล้วให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าได้
แบบของสัญญาเช่าซื้อ :
สัญญาเช่าซื้อจะต้องทำเป็นหนังสือ จะทำด้วยวาจาไม่ได้ มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะเสียเปล่าทำให้ไม่มีผลตามกฎหมายที่จะผูกพันผู้เช่าซื้อกับผู้ให้เช่าซื้อได้การทำสัญญาเป็นหนังสือนั้นจะทำกันเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เช่าซื้อจะเขียนสัญญาเอง หรือจะใช้แบบพิมพ์ที่มีไว้กรอกข้อความลงไปก็ได้หรือจะให้ใครเขียนหรือพิมพ์ให้ทั้งฉบับก็ได้แต่สัญญานั้นจะต้องลงลายมือชื่อของผู้เช่าซื้อ และผู้ให้เช่าซื้อทั้งสองฝ่ายหากมีลายช่อของคู่สัญญาแต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอกสารนั้นหาใช่สัญญาเช่าซื้อไม่
สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา :
ผู้เช่าซื้อมีสิทธิได้รับมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อในสภาพที่ปลอดจากความชำรุดบกพร่องหรือในสภาพอันซ่อมแซมดีแล้วเพราะผู้ให้เช่าซื้อมีหน้าที่และความรับผิดชอบในเรื่องทรัพย์สินที่ชำรุดบกพร่องแม้ว่า ผู้ให้เช่าซื้อจะทราบถึงความชำรุดบกพร่องหรือไม่ก็ตาม
ดังนั้นในเวลาที่ท่านไปทำสัญญาเช่าซื้อทีวีสีเครื่องหนึ่งเจ้าของร้านมีหน้าที่ต้องส่งมอบทีวีสีในสภาพที่สมบูรณ์ไม่มีส่วนที่ผิดปกติแต่ประการใด ถ้าท่านพบว่าปุ่มปรับสีหลวมหรือปุ่มปรับเสียงก็ดีท่านต้องบอกให้เจ้าของร้านเปลี่ยนทีวีสีเครื่องใหม่แก่ท่านเพราะในเรื่องนี้เป็นสิทธิของตนตามกฎหมายและเจ้าของร้านไม่มีสิทธิที่จะบังคับท่านให้รับทีวีสีที่ชำรุดได้
ผู้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาในเวลาใดก็ได้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อโดยตนเองจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการส่งคืนการที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ก็เพราะเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้เช่าซื้อเป็นงวดๆเปรียบเสมือนการชำระค่าเช่า ดังนั้นผู้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาก็ได้การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจะต้องส่งมอบทรัพย์สินคืนให้แก่เจ้าของถ้ามีการแสดงเจตนาว่า จะคืนทรัพย์สินในภายหลัง หาเป็นการเลิกสัญญาที่สมบูรณ์ไม่การบอกเลิกสัญญาจะต้องควบคู่ไปกับการส่งคืนในขณะเดียวกัน ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินสองคราวติดกันหรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นสาระสำคัญเจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ส่วนเงินที่ได้ชำระราคามาแล้วแต่ก่อนให้ตกเป็นสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินโดยถือเสมือนว่าเป็นค่าเช่า ผู้เช่าซื้อไม่มีสิทธิเรียกคืนจากเจ้าของได้และเจ้าของทรัพย์สินไม่มีสิทธิเรียกเงินที่ค้างชำระได้การผิดนัดไม่ชำระจะต้องเป็นการไม่ชำระสองงวดติดต่อกันหากผิดนัดไม่ใช้เงินเพียงครั้งเดียว หรือหลายครั้งแต่ไม่ติดกัน เช่นผิดนัดไม่ใช้เงินเดือนกุมภาพันธ์ , เมษายน, มิถุนายน , สิงหาคม ฯลฯแต่เช่าซื้อเดือน มกราคม, มีนาคม,พฤษภาคม,กรกฎาคม ฯลฯ สลับกันไปเช่นนี้แม้จะผิดนัดกี่ครั้งกี่หนก็ตามผู้ให้เช่าซื้อหาอาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ไม่
ในการผิดสัญญาในส่วนที่สาระสำคัญหมายความว่าสัญญาเช่าซื้อนั้นมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เช่าซื้อมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินและเคารพในกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าจะชำระราคาครบตามข้อตกลงถ้าผู้เช่าซื้อนำทรัพย์สินไปจำนำและไม่ชำระเงินถือว่าผิดสัญญาเช่าซื้อของมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและผู้เช่าซื้อมีความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ได้อีกเนื่องจากกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออยู่
อนึ่งในกรณีผู้เช่าซื้อกระทำผิดสัญญา เพราะผิดนัดไม่ใช่เงินซึ่งเป็นงวดสุดท้ายนั้นเจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิจะริบบรรดาเงินที่ชำระมาแล้วแต่ก่อนและยึดทรัพย์กลับคืนไปได้ต่อเมื่อรอให้ผุ้เช่าซื้อมาชำระราคาเมื่อถึงกำหนดชำระราคาในงวดถัดไปถ้าไม่มาผู้ให้เช่าซื้อริบเงินได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 บัญญัติว่า “อันว่าเช่าทรัพย์สินนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้เช่า ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น”
ตามบทนิยามนี้ สัญญาเช่าทรัพย์มีสาระสำคัญดังนี้
1) เป็นสัญญาสองฝ่าย คือ ผู้ให้เช่า และ ผู้เช่า ซึ่งแต่ละฝ่ายจะประกอบด้วยบุคคลคน
เดียวหรือหลายคน จะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
2) ผู้เช่าตกลงให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่า ซึ่งหมายความว่า ผู้เช่าจะได้
ใช้หรือได้รับประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในทรัพย์สินที่เช่า เช่น หากผู้เช่าเช่าบ้านก็ได้อยู่อาศัย เช่านาก็ได้ทำนา เป็นต้น
สัญญาเช่าทรัพย์นั้นทรัพย์สินที่จะให้เช่านั้น อาจเป็นวัตถุที่มีรูปร่าง หรือไม่มีรูปร่างก็ได้ โดยอาจเป็นทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้ เพียงแต่ต้องได้ความว่าผู้เช่าได้ใช้ หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งได้ หากผู้เช่ารายใดไม่ได้ใช้ หรือไม่ได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว สัญญานั้นจะไม่ใช่สัญญาเช่าทรัพย์
โดยทั่วไป การที่จะได้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่นั้น สามารถเห็นได้โดยง่าย แต่บางกรณีอาจจะเห็นได้โดยยาก
สัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้ค้ำประกัน” ผูกพันตนต่อ “เจ้าหนี้” คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น เช่น แดงกู้เงินจากดำโดยมีเขียวมาทำสัญญาค้ำประกันกับดำเพื่อประกันหนี้เงินกู้ของแดง เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ แดงไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้ ดำสามารถเรียกให้เขียวชำระหนี้เงินกู้ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันได้
ลักษณะของสัญญาค้ำประกัน
1) เป็นสัญญาอุปกรณ์ การค้ำประกันต้องมีหนี้เดิม (หนี้ประธาน) ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ก่อนเสมอ สัญญาค้ำประกันนั้นเป็นเพียงสัญญาอุปกรณ์ของหนี้ประธานซึ่งมีขึ้นเพื่อให้เจ้าหนี้มีหลักประกันการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้มั่นคงยิ่งขึ้น สัญญาค้ำประกันจะมีขึ้นเพียงลำพังโดยปราศจากสัญญาประธานไม่ได้
2) เป็นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันต้องเป็นบุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ และสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาสองฝ่ายซึ่งทำขึ้นระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกัน ส่วนลูกหนี้ไม่ได้เป็นคู่สัญญาในสัญญาค้ำประกันด้วย
3) เป็นสัญญาที่ผู้ค้ำประกันจะชำระหนี้แทนเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ หากลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ แต่เจ้าหนี้ต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดเสียก่อน และเมื่อผู้ค้ำประกันชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แล้ว ผู้ค้ำประกันมีสิทธิไล่เบี้ยเรียกเงินที่ตนได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้วคืนจากลูกหนี้ได้
4) เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบ ดังนั้น สัญญาค้ำประกันจึงสมบูรณ์เมื่อมีการตกลงกันระหว่างผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะตกลงกันด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร แต่การที่จะฟ้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้นั้นจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดีสัญญาค้ำประกันที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้นก็ไม่เป็นโมฆะแต่อย่างใด ยังมีผลสมบูรณ์เพียงแต่ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้เท่านั้น
สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า “ผู้จำนอง” เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลแก่คนหนึ่ง เรียกว่า “ผู้รับจำนอง” เป็นการประกันการชำระหนี้โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง
ลักษณะของสัญญาจำนอง
1) เป็นสัญญาอุปกรณ์ สัญญาจำนองนั้นเป็นสัญญาอุปกรณ์เช่นเดียวกับสัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนองจะมีขึ้นเพียงลำพังโดยปราศจากสัญญาประธานไม่ได้
2) ผู้จำนองจะเป็นลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้ แต่ผู้จำนองต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่นำมาจำนอง ผู้จำนองจะเอาทรัพย์ของบุคคลอื่นมาจำนองไม่ได้
3) เป็นสัญญาที่ไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่จำนอง ซึ่งแตกต่างจากสัญญาจำนำ
4) เป็นสัญญาที่มีแบบ สัญญาจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิเช่นนั้นสัญญาจำนองจะตกเป็น “โมฆะ”
ความรับผิดชอบของผู้จำนอง
เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวแก่ลูกหนี้ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าว ถ้าลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว ผู้รับจำนองจึงมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและขายทอดตลาด
สัญญาที่บุคคลหนึ่งเรียกว่า “ผู้จำนำ” ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้รับจำนำ” เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้
ลักษณะของสัญญาจำนำ
1) เป็นสัญญาอุปกรณ์ สัญญาจำนำนั้นเป็นสัญญาอุปกรณ์เช่นเดียวกับสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนอง
2) ผู้จำนำจะเป็นลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้ แต่ผู้จำนำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่นำมาจำนำ ผู้จำนำจะเอาทรัพย์ของบุคคลอื่นมาจำนำไม่ได้
3) เป็นสัญญาที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่จำนำแก่ผู้รับจำนำ ถ้าไม่มีการส่งมอบทรัพย์ สัญญาจำนำไม่เกิดขึ้น แตกต่างกับสัญญาจำนอง
4) เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบ ดังนั้น สัญญาจำนำจึงสมบูรณ์เมื่อมีการตกลงกันระหว่างผู้จำนำกับผู้รับจำนำ ไม่ว่าจะตกลงกันด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร อย่างไรก็ดีผู้จำนำต้องส่งมอบทรัพย์สินที่จำนำให้แก่ผู้รับจำนำ มิเช่นนั้นสัญญาจำนำย่อมไม่เกิดขึ้น
ความรับผิดของผู้จำนำ
เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและผู้รับจำนำได้บอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้แต่ลูกหนี้ไม่ชำระ เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะบังคับจำนำโดยนำสังหาริมทรัพย์ที่จำนำออกขายทอดตลาดโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำสั่งศาลให้ขายทอดตลาด และถ้าบังคับจำนำแล้วราคายังคงอยู่ที่ผู้รับจำนำก็สามารถเรียกร้องเอาเงินส่วนที่ขาดจากผู้จำนำได้