กฎหมายอาญา
กฎหมายอาญา
1. ลักษณะของกฎหมายอาญา
1) เป็นกฎหมายมหาชน >> รัฐจะลงโทษเมื่อประชาชนกระทำความผิด
2) ตีความโดยเคร่งครัด >> ไม่มีการอุดช่องว่างทางกฎหมายเหมือนคดีแพ่ง
3) ไม่มีผลย้อนหลัง >> เว้นแต่การย้อนหลังจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลย
4) บัญญัติความผิดและโทษชัดแจ้ง >> หากไม่มี จะกล่าวหาว่าผู้นั้นกระทำความผิดและลงโทษไม่ได้
ประเภทอาญา
1. ความผิดต่อชีวิต คือ ความผิดที่กระทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีหลายประเภท เช่น ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนาฆ่า ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
2. ความผิดต่อร่างกาย คือ การกระทำผิดซึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย เช่น ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ คือ ผู้กระทำผิดได้ทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนได้รับบาดเจ็บแก่กายหรือจิตใจ
3. ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ คือ ความผิดที่กระทำต่อทรัพย์ของผู้อื่น ซึ่งมีด้วยกันหลายประเภท
4. ความผิดฐานเป็นกบฏ เช่น ให้กำลังทุบร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ หรือแบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจการปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักร
5. ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ เช่น สะสมกำลังคนหรืออาวุธ หรือเตรียมการเป็นกบฏ ยุยงทหารหรือตำรวจให้หนีราชการ หรือก่อการกำเริบยุยงหรือจัดให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน ปิดงาน งดจ้าง หรือไม่ยอมค้าขาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายแผ่นดิน หรือบังคับรัฐบาล หรือข่มขู่ประชาชน
6. ความผิดฐานวางเพลิง การลอบจุดไฟเผาอาคารบ้านเรือนหรือทรัพย์ หากเป็นอาคารสถานที่สาธารณะ มีโทษรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต แม้การวางเพลิงทรัพย์สินของตนเองก็มีโทษ ถ้าการกระทำนั้นอาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น
7. ความผิดฐานปลอมแปลงเงินตรา เช่น ทำธนบัตรปลอมหรือเหรียญกษาปณ์ปลอมนอกจากผู้ปลอมจะมีความผิดแล้ว ผู้ที่นำไปใช้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นของปลอมก็มีความผิดด้วย
8. ความผิดเกี่ยวกับเพศ เช่น การข่มขืนกระทำชำเรามีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 20 ปี ถ้ามีอาวุธข่มขู่ด้วย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี หรือตลอดชีวิต ถ้าเป็นผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี ย่อมมีโทษที่หนักขึ้น
9. ความผิดฐานทำให้แท้งลูก หญิงที่ทำตนเองหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก มีความผิดฐานทำให้แท้งลูก และผู้ทำแท้งก็มีความผิดด้วยแม้ฝ่ายหญิงจะยินยอมก็ตาม
ผู้กระทำความผิดอาญา
1. ผู้กระทำความผิดด้วยตนเอง คือ การกระทำความผิดที่ผู้กระทำความผิดได้ลงมือกระทำความผิดนั้นด้วยตนเอง
2. ผู้ร่วมกระทำความผิด คือ การกระทำความผิดที่มีผู้อื่นมาร่วมกระทำผิดด้วย
3. ผู้ใช้ให้กระทำความผิด คือ ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการบังคับขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยงส่งเสริมหรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้ใช้ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิด แต่ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียง 1 ใน 3 ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
4. ผู้สนับสนุนการกระทำผิด คือ ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือหรือเอื้ออำนวยให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด ผู้สนับสนุนต้องได้รับโทษ 2 ใน 3 ของผู้กระทำผิด
“ความผิดลหุโทษ” คือ ความผิดอาญาแผ่นดินที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เช่น ความผิดฐานทำร้ายร่างกายที่ไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ ความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า เป็นต้น
ความรับผิดทางอาญา
1. ความรับผิดในทางอาญาเกิดขึ้นเมื่อผู้กระทำได้กระทำครบ“องค์ประกอบ”ที่กฎหมายบัญญัติ และ
2. การกระทำที่ครบ “องค์ประกอบ” ที่กฎหมายบัญญัติจะต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด และ
3. การกระทำที่ครบ “องค์ประกอบ” ที่ไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดนั้นจะต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษด้วย
4. บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาต่อเมื่อมีการกระทำ
โครงสร้างรับผิดทางอาญา
1. การกระทำครบ “องค์ประกอบ” ที่กฎหมายบัญญัติหมายความว่า
(1) ผู้กระทำจะต้องมี “การกระทำ”
(2) การกระทำนั้นจะต้องครบ “องค์ประกอบภายนอก” ที่กฎหมายบัญญัติไว้
(3) การกระทำจะต้องครบ “องค์ประกอบภายใน” ที่กฎหมายบัญญัติไว้
(4) ผลของการกระทำจะต้องสัมพันธ์กับการกระทำตามหลักในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
2. การกระทำที่ครบตามหลักเกณฑ์ข้างต้นทั้ง 4 ประการนั้นจะต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
3. การกระทำที่ไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดจะต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษด้วย
การกระทำครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติ
การกระทำที่ครบองค์ประกอบ ที่กฎหมายบัญญัติไว้ หมายความว่า ผู้กระทำมีการกระทำ การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดในเรื่องนั้นๆ การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายในของความผิดในเรื่องนั้นๆ และผลกระทบของการกระทำสัมพันธ์กับการกระทำตามหลักในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
ถือได้ว่าการกระทำของฟ้าครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติไว้ กล่าวคือ ฟ้ามีการกระทำ การกระทำครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ปอ. มาตรา 288 และการกระทำครบองค์ประกอบภายในกล่าวคือ “เจตนา” ตามมาตรา 288 และผลของการกระทำคือ ความตายของม่วงสัมพันธ์กับการกระทำของฟ้าตามหลักในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
การกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
การกระทำที่ไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดหมายความว่า ผู้กระทำไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำการซึ่งครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งเมื่อไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด ผู้กระทำก็มีความผิด แต่ถ้ามีกฎหมายยกเว้นความผิด ผู้กระทำก็ไม่มีความผิด กฎหมายที่ยกเว้นความผิดอาจจะบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เช่น เรื่องป้องกันตัว ตาม ปอ. มาตรา 68 หรือไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรง เช่น หลักในเรื่องความยินยอมหรือบัญญัติไว้ในกฎหมายอื่น เช่น ปพพ. มาตรา 1567 (2) ให้อำนาจผู้ใช้อำนาจปกครองทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือในรัฐธรรมนูญ เช่น มาตรา 125 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ซึ่งให้เอกสิทธิในการอภิปรายในสภาแก่สมาชิกรัฐสภาเป็นต้น
การกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
การกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ หมายความว่าการกระทำซึ่งครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติซึ่งไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดนั้น ไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำเช่นกัน แต่ถ้ามีกฎหมายยกเว้นโทษแล้ว ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในทางอาญา กฎหมายที่ยกเว้นโทษมีหลายกรณี เช่น การกระทำความผิดโดยจำเป็นตาม ปอ. มาตรา 67 เด็กกระทำความผิดตาม ปอ. มาตรา 73 74 ผู้กระทำวิกลจริต ตาม ปอ. มาตรา 65 วรรคแรก ผู้กระทำมึนเมาตาม ปอ. มาตรา 66 การกระทำตามคำสั่งมิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานตาม ปอ. มาตรา 70 การกระทำความผิดต่อทรัพย์ในระหว่างสามีภรรยาตาม มาตรา 71 เป็นต้น
การกระทำความผิดอาญา
เหตุยกเว้นโทษทางอาญา
การกระทำความผิดอาญาที่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษถ้ามีเหตุอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย เช่น
1. การกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
2. การกระทำความผิดเพราะความบกพร่องทางจิต
3. การกระทำความผิดเพราะความมึนเมา
4. การกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน
5. สามีภริยากระทำความผิดต่อกันในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์บางฐาน
6. เด็กอายุไม่เกิน 14 ปีกระทำความผิด
7. เด็กและเยาวชนกระทำความผิด
เด็กอาจกระทำความผิดได้เช่นเดียวผู้ใหญ่ แต่การกระทำความผิดของเด็กอาจได้รับโทษต่างจากการกระทำของผู้ใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากเด็กเป็นผู้อ่อนเยาว์ ปราศจากความรู้สึกรับผิดชอบหรือขาดความรู้สึกสำนึกเท่าผู้ใหญ่ การลงโทษเด็กจำต้องคำนึงถึงอายุของเด็ก ผู้กระทำความผิดด้วย กฎหมายได้แบ่งการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนออกเป็น 4 ช่วงอายุ คือ
1) เด็กอายุไม่เกิน 7 ปี
2) เด็กอายุกว่า 7 ปี แต่ยังไม่เกิน 14 ปี
3) เยาวชนอายุเกินกว่า 14 ปีแต่ไม่เกิน 17 ปี
4) เยาวชนอายุกว่า 17 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี
สำหรับเด็กในช่วงอายุไม่เกิน 7 ปี และเด็กอายุกว่า 7 ปีแต่ไม่เกิน 14 ปีเท่านั้น ที่กฎหมายยกเว้นโทษให้ ส่วนผู้ที่อายุเกินกว่า 14 ปีแต่ไม่เกิน 17 ปี และผู้ที่มีอายุกว่า 17 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี หากกระทำความผิดกฎหมายก็จะไม่ยกเว้นโทษให้ เพียงแต่ให้รับลดหย่อนโทษให้
6.1 เด็กอายุไม่เกิน 7 ปีการกระทำความผิด เด็กไม่ต้องรับโทษเลย ทั้งนี้เพราะกฎหมายถือว่าเด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถรู้ผิดชอบได้ ฉะนั้นจะมีการจับกุมฟ้องร้อยเกในทางอาญามิได้
6.2 เด็กอายุกว่า 7 ปี แต่ไม่เกิน 14 ปีกระทำความผิด เด็กนั้นก็ไม่ต้องรับโทษเช่นกัน แต่กฎหมายให้อำนาจศาลที่จะใช้วิธีการสำหรับเด็ก เช่น
1) ว่ากล่าวตักเตือนเด็กนั้นแล้วปล่อยตัวไป
2) เรียกบิดามารดา ผู้ปกครองหรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาตักเตือนด้วยก็ได้
3) มอบตัวเด็กให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองไป โดยวางข้อกำหนดให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองระวังเด็กนั้นไม่ให้ก่อเหตุร้าย
4) มอบเด็กให้แก่บุคคลที่เด็กอาศัยอยู่ เมื่อเขายอมรับข้อกำหนดที่จะระวังเด็กนั้นไม่ให้ก่อเหตุร้าย
5) กำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติ
6) มอบตัวเด็กให้กับบุคคลหรือองค์การที่ศาลเห็นสมควร เพื่อดูและอบรมและสั่งสอนเด็กในเมื่อบุคคลหรือองค์การนั้นยินยอม
7) ส่งตัวเด็กนั้นไปยังโรงเรียนหรือสถานฝึกอบรม หรือสถานที่ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อฝึกและอบรม
6.3 เยาวชนอายุเกิน 14 ปี แต่ไม่เกิน 17 ปีกระทำความผิด ผู้ที่อายุกว่า 14 ปีแต่ไม่เกิน 17 ปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ให้ศาลพิจารณาถึงความรู้ผิดชอบและสิ่งอื่นทั้งปวงเกี่ยวกับผู้นั้นในอันควรวินิจฉัยว่าสมควรพิพากษาลงโทษผู้นั้นหรือไม่ศาลอาจใช้วิธีการตามข้อ 6.2 หรือลงโทษเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ โดยลดมาตราส่วนโทษที่จะใช้กับเยาวชนนั้นลงกึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการลงโทษเยาวชนผู้กระทำความผิด
6.4 เยาวชนอายุกว่า 17 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปีกระทำความผิด ผู้ที่อายุกว่า 17 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี กระทำอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลง 1 ใน 3 หรือกึ่งหนึ่งก็ได้จะเห็นได้ว่า ผู้ที่อายุกว่า 17 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี กฎหมายไม่ถือว่าเป็นเด็ก แต่กฎหมายก็ยอมรับว่า บุคคลในวัยนี้ยังมีความคิดอ่านไม่เท่าผู้ใหญ่จริง จึงไม่ควรลงโทษเท่าผู้ใหญ่กระทำความผิด โดยให้ดุลพินิจแก่ศาลที่จะพิจารณาว่า สมควรจะลดหย่อนผ่อนโทษให้หรือไม่ ถ้าศาลพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับผู้กระทำความผิด เช่น ความคิดอ่าน การศึกษาอบรม ตลอดจนพฤติการณ์ในการกระทำความผิด เช่น กระทำความผิดเพราะถูกผู้ใหญ่เกลี้ยกล่อม หากศาลเห็นสมควรลดหย่อนผ่อนโทษให้ก็มีอำนาจลดมาตราส่วนโทษได้ 1 ใน 3 หรือกึ่งหนึ่งการลดมาตราส่วนโทษ คือ การลดอัตราโทษขั้นสูงและโทษขั้นต่ำลง 1 ใน 3 หรือกึ่งหนึ่งแล้ว จึงลงโทษระหว่างนั้น แต่ถ้ามีอัตราโทษขั้นสูงอย่างเดียวก็ลดเฉพาะอัตราโทษขั้นสูงนั้น แล้วจึงลงโทษจากอัตราที่ลดแล้วนั้น
โทษทางอาญา
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้
(1) ประหารชีวิต
(2) จำคุก
(3) กักขัง
(4) ปรับ
(5) ริบทรัพย์สิน
โทษแต่ละข้อมีนิยาม และบทบาทเฉพาะตัว โทษทางอาญาใดจะลงกับจำเลยอายุเท่าไรยังไงได้บ้างมีข้อจำกัดชัดเจน
โทษประหารชีวิตและจำคุกตลอดชีวิต ไม่ให้นำมาใช้บังคับกับผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีแล้วถ้าผู้กระทำความผิดขณะมีอายุต่ำกว่า 18 ปีลงโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตไม่ได้ ก็จะต้องเปลี่ยนโทษไปเป็นระวางโทษจำคุก 50 ปี ตามมาตรา 18 วรรค 3 ประมวลกฎหมายอาญา
สำหรับความผิดที่กฎหมายกำหนดให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับด้วยนั้น ศาลจะลงโทษแต่จำคุกก็ได้
สำหรับโทษจำคุก แล้วในคดีนั้นศาลลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ถ้าไม่เคยปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือรับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือลหุโทษ ศาลจะพิพากษาลงโทษให้กักขังไม่เกิน 3 เดือนแทนโทษจำคุกนั้นได้
วิธีการเพื่อความปลอดภัย
มาตรา 39 วิธีการเพื่อความปลอดภัย มีดังนี้
(1) กักกัน
(2) ห้ามเข้าเขตกำหนด
(3) เรียกประกันทัณฑ์บน
(4) คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล
(5) ห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง
มาตรา 40 กักกัน คือการควบคุมผู้กระทำความผิดติดนิสัยไว้ภายในเขตกำหนด เพื่อป้องกันการกระทำความผิด เพื่อดัดนิสัย และเพื่อฝึกหัดอาชีพ
มาตรา 41 ผู้ใดเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกันมาแล้ว หรือเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าหกเดือนมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งในความผิดดังต่อไปนี้ คือ
(1) ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 209 ถึงมาตรา 216
(2) ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 217 ถึงมาตรา 224
(3) ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 240 ถึงมาตรา 246
(4) ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 ถึงมาตรา 286
(5) ความผิดต่อชีวิต ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 288 ถึงมาตรา 290 มาตรา 292 ถึงมาตรา 294
(6) ความผิดต่อร่างกาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 295 ถึงมาตรา 299
(7) ความผิดต่อเสรีภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 309 ถึงมาตรา 320
(8) ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถึงมาตรา 340 มาตรา 354 และมาตรา 357
และภายในเวลาสิบปีนับแต่วันที่ผู้นั้นได้พ้นจากการกักกัน หรือพ้นโทษ แล้วแต่กรณี ผู้นั้นได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดในบรรดาที่ระบุไว้นั้นอีกจนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าหกเดือนสำหรับการกระทำความผิดนั้น ศาลอาจถือว่า ผู้นั้นเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัย และจะพิพากษาให้กักกันมีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าสามปีและไม่เกินสิบปีก็ได้
ความผิดซึ่งผู้กระทำได้กระทำในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีนั้น มิให้ถือเป็นความผิดที่จะนำมาพิจารณากักกันตามมาตรานี้
มาตรา 42 ในการคำนวณระยะเวลากักกัน ให้นับวันที่ศาลพิพากษาเป็นวันเริ่มกักกัน แต่ถ้ายังมีโทษจำคุกหรือกักขังที่ผู้ต้องกักกันนั้นจะต้องรับอยู่ก็ให้จำคุกหรือกักขังเสียก่อน และให้นับวันถัดจากวันที่พ้นโทษจำคุกหรือพ้นจากกักขังเป็นวันเริ่มกักกันระยะเวลากักกัน และการปล่อยตัวผู้ถูกกักกัน ให้นำบทบัญญัติมาตรา 21 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 43 การฟ้องขอให้กักกันเป็นอำนาจของพนักงานอัยการโดยเฉพาะ และจะขอรวมกันไปในฟ้องคดีอันเป็นมูลให้เกิดอำนาจฟ้องขอให้กักกันหรือจะฟ้องภายหลังก็ได้
มาตรา 44 ห้ามเข้าเขตกำหนด คือการห้ามมิให้เข้าไปในท้องที่หรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา
มาตรา 45 เมื่อศาลพิพากษาให้ลงโทษผู้ใด และศาลเห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ไม่ว่าจะมีคำขอหรือไม่ ศาลอาจสั่งในคำพิพากษาว่าเมื่อผู้นั้นพ้นโทษตามคำพิพากษาแล้ว ห้ามมิให้ผู้นั้นเข้าในเขตกำหนดเป็นเวลาไม่เกินห้าปี
มาตรา 46 ถ้าความปรากฏแก่ศาลตามข้อเสนอของพนักงานอัยการว่าผู้ใดจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น หรือจะกระทำการใดให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติตามกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ในการพิจารณาคดีความผิดใด ไม่ว่าศาลจะลงโทษผู้ถูกฟ้องหรือไม่ก็ตาม เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ถูกฟ้องน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น หรือจะกระทำความผิดให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติตามกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งผู้นั้นให้ทำทัณฑ์บนโดยกำหนดจำนวนเงินไม่เกินกว่าห้าหมื่นบาทว่าผู้นั้นจะไม่ก่อเหตุร้ายหรือจะไม่กระทำความผิดดังกล่าวแล้วตลอดเวลาที่ศาลกำหนด แต่ไม่เกินสองปี และจะสั่งให้มีประกันด้วยหรือไม่ก็ได้
ถ้าผู้นั้นไม่ยอมทำทัณฑ์บนหรือหาประกันไม่ได้ ให้ศาลมีอำนาจสั่งกักขังผู้นั้นจนกว่าจะทำทัณฑ์บนหรือหาประกันได้ แต่ไม่ให้กักขังเกินกว่าหกเดือน หรือจะสั่งห้ามผู้นั้นเข้าในเขตกำหนดตามมาตรา 45 ก็ได้
การกระทำของผู้ซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีมิให้อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติตามมาตรานี้
มาตรา 47 ถ้าผู้ทำทัณฑ์บนตามความในมาตรา 46 กระทำผิดทัณฑ์บน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้นั้นชำระเงินไม่เกินจำนวนที่ได้กำหนดไว้ในทัณฑ์บน ถ้าผู้นั้นไม่ชำระให้นำบทบัญญัติในมาตรา 29 และมาตรา 30 มาใช้บังคับ
มาตรา 48 ถ้าศาลเห็นว่า การปล่อยตัวผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งไม่ต้องรับโทษหรือได้รับการลดโทษตามมาตรา 65 จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน ศาลจะสั่งให้ส่งไปคุมตัวไว้ในสถานพยาบาลก็ได้ และคำสั่งนี้ศาลจะเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้
มาตรา 49 ในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก หรือพิพากษาว่ามีความผิดแต่รอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษบุคคลใด ถ้าศาลเห็นว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเสพย์สุราเป็นอาจิณ หรือการเป็นผู้ติดยาเสพย์ติดให้โทษ ศาลจะกำหนดในคำพิพากษาว่า บุคคลนั้นจะต้องไม่เสพย์สุรา ยาเสพย์ติดให้โทษอย่างหนึ่งอย่างใด หรือทั้งสองอย่าง ภายในระยะเวลาไม่เกินสองปีนับแต่วันพ้นโทษ หรือวันปล่อยตัวเพราะรอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษก็ได้
ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวในวรรคแรกไม่ปฏิบัติตามที่ศาลกำหนด ศาลจะสั่งให้ส่งไปคุมตัวไว้ในสถานพยาบาลเป็นเวลาไม่เกินสองปีก็ได้
มาตรา 50 เมื่อศาลพิพากษาให้ลงโทษผู้ใด ถ้าศาลเห็นว่าผู้นั้นกระทำความผิดโดยอาศัยโอกาสจากการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ หรือเนื่องจากการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ และเห็นว่าหากผู้นั้นประกอบอาชีพหรือวิชาชีพนั้นต่อไปอาจจะกระทำความผิดเช่นนั้นขึ้นอีก ศาลจะสั่งไว้ในคำพิพากษาห้ามการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพนั้นมีกำหนดเวลาไม่เกินห้าปีนับแต่วันพ้นโทษไปแล้วก็ได้