บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล
บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล
จากคำกล่าวที่ว่า “ที่ใดมีสังคม ที่นั่นย่อมมีกฎหมาย” แสดงโดยนัยว่ากฎหมายนั้นเข้ามามีบทบาทในช่วงชีวิตของมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กฎหมายจึงได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการเริ่มต้นและสิ้นสุด “สภาพบุคคล” (สภาพของความเป็นมนุษย์) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้แบ่งประเภทของบุคคลออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.บุคคลธรรมดา 2. นิติบุคคล
1.1 การเริ่มต้นสภาพบุคคล
ต้องมี “การคลอด” อีกทั้งต้องมี “การอยู่รอดเป็นทารก” (มาตรา 15) โดยต้องมีการหายใจ ไม่ว่าจะโดยการหายใจเองหรือใช้เครื่องมือ
1.2 สิทธิหน้าที่ของบุคคล
สิทธิ หมายถึง อำนาจหรือผลประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองบุคคลจะละเมิดล่วงเกินหรือกระทำการใดๆที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของผู้อื่นไม่ได้
หน้าที่ หมายถึง ภาระหรือความรับผิดชอบที่บุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
1.3 ทารกในครรภ์มารดา
ทารกในครรภ์มารดานั้นไม่ถือว่ามีสภาพบุคคล เพราะยังไม่มีการคลอดและอยู่รอดเป็นทารก แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติสิทธิของทารกในครรภ์มารดาในการรับมรดกไว้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 บัญญัติว่า “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลหรือสามารถมีสิทธิได้ตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ให้ถือว่าเด็กที่เกิดมารอดอยู่ภายใน สามร้อยสิบวัน นับแต่เวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายนั้น เป็นทารกในครรภ์มารดาอยู่ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”
1.4 ความสามารถของบุคคล
คือ การที่บุคคลมีสิทธิและสามารถใช้สิทธิของตนตามกฎหมายได้ ความสามารถในการมีสิทธิ เช่น สิทธิในทรัพย์สิน และความสามารถในการใช้สิทธิ เช่น ความสามารถในการทำสัญญา อย่างไรก็ตามบุคคลบางประเภทอาจมีความด้อยทางวุฒิภาวะร่างกายหรือสติปัญญา กฎหมายจึงต้องเข้ามาคุ้มครองด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ของ “ผู้ไร้ความสามารถ” ขึ้น
ผู้ไร้ความสามารถ ตามกฎหมายมี 4 ประเภท คือ
1. ผู้เยาว์ 2. คนไร้ความสามารถ
3. คนเสมือนไร้ความสามารถ 4. บุคคลวิกลจริต
บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กล่าวคือ เป็นผู้ที่มีสิทธิตามกฎหมายแต่ด้วยความอ่อนด้อยทางอายุและวุฒิภาวะทำให้กฎหมายจำกัดการใช้สิทธิเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เยาว์
การบรรลุนิติภาวะ เกิดใน 2 กรณี คือ
1) อายุ 20 ปีบริบูรณ์
2) สมรสเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์
ความสามารถของผู้เยาว์
มาตรา 21 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้วางหลักทั่วไปเกี่ยวกับการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ไว้ว่า “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นนั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”
ผู้แทนโดยชอบธรรม
เป็นบุคคลที่กฎหมายกำหนดขึ้นเพื่อดูแลรักษาผลประโยชน์ของผู้เยาว์ โดยหลักผู้เยาว์จะต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนหรือขณะทำนิติกรรมโดยผู้แทนโดยชอบธรรม คือ
1) ผู้ใช้อำนาจปกครอง คือ บิดา มารดาของผู้เยาว์ เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองร่วมกัน
2) ผู้ปกครอง คือ บุคคลที่ศาลตั้งขึ้นในกรณีไม่มีบิดา มารดา เช่น บิดา มารดาตายหรือไม่ปรากฏ หรือบิดา มารดา ถูกถอนอำนาจปกครอง
3) ผู้รับบุตรบุญธรรม ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม อำนาจปกครองจะอยู่กับผู้รับบุตรบุญธรรม โดยบิดา มารดา ผู้ให้กำเนิดจะหมดอำนาจปกครองนับแต่วันที่เด็กเป็นบุตรบุญธรรม
หมายถึง บุคคลวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ (คนไร้ความสามารถเริ่มต้นขึ้นเมื่อศาลสั่งไม่ได้เริ่มต้นเมื่อวิกลจริต)
หลักเกณฑ์ของคนไร้ความสามารถ
1) เป็นคนวิกลจริตถึงขนาด
2) เมื่อคู่สมรส บุพการี (บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด) ผู้สืบสันดาน (ลูก หลาน เหลน ลื่อ) ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์หรือพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่ง
3) ต้องประกาศคำสั่งของศาลที่สั่งให้ผู้ใดเป็นคนไร้ความสามารถในราชกิจจานุเบกษา
คนไร้ความสามารถจะตกอยู่ในความดูแลของ “ผู้อนุบาล” โดยนิติกรรมที่คนไร้ความสามารถทำลงไปมีผลเป็น “โมฆียะเสมอ” (มาตรา29) เนื่องจากกฎหมายประสงค์ให้ผู้อนุบาลเป็นผู้ทำแทน
การสิ้นสุดแห่งการเป็นคนไร้ความสามารถ
1) เมื่อคนไร้ความสามารถถึงแก่ความตาย หรือ
2) เมื่อศาลได้สั่งเพิกถอนคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
บุคคลที่ไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้ เพราะมีกายพิการหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเป็นอาจิณ
หลักเกณฑ์ของคนเสมือนไร้ความสามารถ
1) มีเหตุตามกฎหมาย ได้แก่ ร่างกายพิการ จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็นอาจิณ ติดสุรายาเมา
2) เหตุข้างต้นทำให้ไม่สามารถจัดทำการงานของตนเองได้
3) เมื่อมีการร้องขอต่อศาลโดยบุคคลตามข้อ 1.4.2 ศาลอาจสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและต้องประกาศคำสั่งนั้นในราชกิจจานุเบกษา
***คนเสมือนไร้ความสามารถตกอยู่ในความดูแลของ “ผู้พิทักษ์” โดยหลักการทำนิติกรรมของคนเสมือนไร้ความสามารถ ทำนิติกรรมใดๆได้ตามปกติและมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมบางอย่างที่กฎหมายกำหนด กฎหมายจึงกำหนดให้คนเสมือนไร้ความสามารถต้องไปขอความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน เนื่องจากนิติกรรมเหล่านี้มีความสำคัญ ถ้าทำโดยฝ่าฝืนนิติกรรมนั้น ย่อมตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 34 ได้แก่
1) นำทรัพย์สินไปลงทุน
2) รับคืนทรัพย์สินที่ไปลงทุน ต้นเงินหรือทุนอย่างอื่น
3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า
4) รับประกันโดยประการใดๆอันมีผลให้ตนต้องถูกบังคับชำระหนี้
5) เช่าหรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลา เกินกว่าหกเดือน หรืออสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลา เกินกว่าสามปี
6) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปเพื่อการกุศลหรือตามหน้าที่
7) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือภาระติดพัน
8) ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะได้มาหรือปล่อยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์/สังหาริมทรัพย์อันมีค่า
9) ก่อสร้างหรือดัดแปลงโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือซ่อมแซมอย่างใหญ่
10) เสนอคดีต่อศาลหรือดำเนินกระบวนการพิจารณาใดๆ
11) ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
ถ้ามีกรณีอื่นใดนอกจากที่กล่าวซึ่งคนเสมือนไร้ความสามารถอาจจัดการไปในทางเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว ในขั้นตอนการสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือเมื่อผู้พิทักษ์ร้องขอในภายหลังศาลมีอำนาจสั่งให้คนเสมือนไร้ความสามารถนั้นต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนจึงทำการนั้นได้
การสิ้นสุดแห่งการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
1) คนเสมือนไร้ความสามารถถึงแก่ความตาย
2) เมื่อศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
3) เมื่อศาลได้สั่งถอนคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
1.5.1 การตายตามธรรมชาติ
การที่หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้นและสมองหยุดทำงาน โดยการตรวจด้วยการวัดคลื่นสมองด้วยไฟฟ้า
1.5.2 การตายโดยผลของกฎหมาย
“การสาบสูญ” คือ การสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยผลแห่งกฎหมาย
ข้อสังเกตผลของการสาบสูญ
1) กรณีมีคู่สมรส – การสาบสูญ ไม่ทำให้การสมรสขาด จากกัน แต่เป็นเหตุให้คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
2) เรื่องมรดก – เมื่อศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ มรดกย่อมตกแก่ทายาท แต่กรณีนี้ผู้รับมรดกอาจต้องคืนทรัพย์มรดกที่ได้รับมาหากภายหลังพิสูจน์ได้ว่าผู้สาบสูญนั้นมีชีวิตอยู่
กรณีคนสาบสูญนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายเวลาอื่นผิดไปจากเวลาที่กฎหมายสันนิษฐานไว้ คือ 5 ปี ในกรณีธรรมดาและ 2 ปีในกรณีพิเศษ ผู้มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญ ได้แก่บุคคลต่อไปนี้ คือ ตัวผู้สาบสูญเองหรือผู้มีส่วนได้เสีย (บิดามารดา บุตร คู่สมรส) หรือพนักงานอัยการ ผลของการเพิกถอนคำสั่ง คือ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์แห่งการกระทำทั้งหลายที่ได้กระทำไปโดยสุจริตในระหว่างที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ
บุคคลตามกฎหมายที่กฎหมายสมมติขึ้นมาและรับรองให้มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เป็นลักษณะของการที่บุคคลหลายคนร่วมกันทำกิจกรรมอันเดียวกัน
2.1 นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ได้แก่ มูลนิธิ เพื่อดำเนินกิจกรรมสาธารณกุศล , สมาคม ที่ดำเนินกิจการต่อเนื่องที่ไม่ได้แสวงหากำไรหรือรายได้มาแบ่งกัน , ห้างหุ้นส่วน หรือ บริษัท กิจการที่บุคคลทำร่วมกันเพื่อแบ่งกำไร
2.2 นิติบุคคลตามกฎหมายอื่น
- รัฐวิสาหกิจต่างๆที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย
- มหาวิทยาลัย , พรรคการเมือง , กระทรวง , ทบวง , กรม , จังหวัด , เทศบาล , อบจ. , อบต. , กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา (คณะรัฐมนตรี , รัฐบาล , อำเภอ ≠ นิติบุคคล)